ไขความหมายคำ Social Lab | วรากรณ์ สามโกเศศ
Social Lab หรือ กระบวนการห้องปฏิบัติการทางสังคม ดูจะเป็นคำที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ฟังดูเท่แต่ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร ยิ่งนานวันเข้ายิ่งมีความหมายกว้างขึ้น ตัวอย่างที่เห็นจริง ๆ เท่านั้นจะทำให้เห็นภาพ
มีคนแปล “Social Lab” ว่าหมายถึง “ศูนย์ปฏิบัติการทางสังคม” หรือ “กระบวนการห้องปฏิบัติการทางสังคม” โดยไอเดียมาจากการเห็นว่าทางวิทยาศาสตร์มีห้อง lab (แล็บซึ่งย่อจาก laboratory หรือห้องทดลอง) เพื่อทดลอง หรือทดสอบ หรือค้นคว้าวิจัย
เช่น ผลิตวัคซีนโควิด-19 ทดสอบความแข็งแรงของคอนกรีต จุดเดือดของสารต่าง ๆ ค้นหาโซลาเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูง ฯลฯ โดยสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ หรือใช้ทดลองกับสารต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนไปได้ตามความต้องการ
แต่ทางสังคมศาสตร์นั้นไม่อาจทำเช่นนี้ได้ เช่น ไม่อาจมีห้องทดลองว่าถ้าสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อแค่ไหนแล้วจะมีผลต่อค่าครองชีพของโลกและบ้านเราเพียงใด หรือจะจูงใจเกษตรกรให้ผลิตข้าวด้วยผลิตภาพ (productivity) สูงอย่างไร ฯลฯ
ผู้คนเชื่อกันว่าทดลองทางสังคมไม่ได้มาตลอดจนเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ก็เกิดไอเดียว่าเมื่อเราดึงสังคมมาเข้าห้องแล็บไม่ได้ ทำไมเราถึงไม่ทำสังคมให้เป็นห้องแล็บเสียเลย ดังนั้นจึงเกิดแนวคิด “Social Lab“ ขึ้นมา
แต่แน่นอนว่าไม่อาจเหมือนแล็บทางวิทยาศาสตร์ที่หาคำตอบได้จากการทดลองในห้อง ส่วน “Social Lab“ นั้นเป็นการทดลองโดยธรรมชาติอยู่แล้วอย่างนอกห้องแล็บเพื่อให้เข้าใจโลกข้างนอกได้ดียิ่งขึ้น
“Social Lab” ในความหมายหนึ่งคือการให้มี “พื้นที่” ที่ผู้คนสามารถมาพบกัน สร้างการรับรู้และเรียนรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดและความต้องการกันเพื่อหาข้อตกลงหรือความร่วมมือเพื่อใช้เป็นประโยชน์แก่ทุกคนผ่านการมีโครงการ มีการปฏิบัติการหรือมีข้อสัญญา
มันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการแก้ไขปัญหา การสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบโดยทั้งหมดสามารถเป็นเรื่องของสังคม การบริหารงานภาครัฐ หรือธุรกิจก็ได้ตราบใดที่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกัน
สำหรับความหมายที่กว้างออกไป “Social Lab” คือ แหล่งศึกษาเรียนรู้ แหล่งให้บริการทางวิชาการแก่ชุมชน หรือเป็น พื้นที่ศึกษาวิจัย ประเด็นสำคัญคือเป็นแหล่งค้นคว้าทดลองในโครงการต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความจริง และนำไปใช้ในการขยายงาน ไม่ว่าในภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม
ตัวอย่างแรก คือ โครงการพระราชดำริ และจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ในภาคต่าง ๆ เพื่อให้เป็นแหล่งสาธิตในการสร้างอาชีพของประชาชน เป็นแหล่งเรียนรู้จัดการดิน น้ำ ป่า เช่นศูนย์พัฒนาห้วยทราย เพชรบุรี ศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ เชียงใหม่ ศูนย์พิกุลทอง นราธิวาส ฯลฯ
ความรู้ได้มาจาก “Social Lab” ซึ่งมาจากการทดลองทำจริงภายใต้โครงการพระราชดำริต่าง ๆ เช่น ปลานิลนั้น ก่อนที่จะกระจายเลี้ยงไปทั้งประเทศจนเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญในปัจจุบันมาจากการทดลองเลี้ยงในแปลงทดลอง พระราชวังดุสิตหรือ “Social Lab” ดังนั้นบ้านเราโดยแท้จริงแล้วมี “Social Lab” มาก่อนฝรั่งหลายสิบปีด้วยซ้ำด้วยพระปรีชาญาณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา
ตัวอย่างที่สอง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมการข้าว ธกส. และสองบริษัทเอกชนได้สร้าง “Social Lab” ขึ้นร่วมกันในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เพื่อหาทางเพิ่มผลิตภาพในการผลิตข้าวในบ้านเราที่อยู่ในระดับต่ำมานาน
โดยพยายามศึกษาว่าอะไรเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับเกษตรกร ในการเพิ่มผลิตภาพ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวจริงทั้งสิ้น 200 คน ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ขอนแก่น ร้อยเอ็ด และพิจิตร โครงการอำนวยความสะดวกให้ในด้านต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นความรู้สมัยใหม่ด้านการเกษตร เครดิต ปุ๋ย ดิจิทัลแพลตฟอร์มสมัยใหม่ในด้านพยากรณ์อากาศและการตลาด ฯลฯ เกษตรกรมีอิสระในการตัดสินใจใช้สิ่งต่าง ๆ ที่จัดหาให้เพื่อนำไปใช้ในการปลูก โครงการมีการกำหนดกฎกติกาในการทดลองนี้เพื่อนำผลผลิตข้าวที่ได้มาเปรียบเทียบกัน
ข้อสรุปจาก “Social Lab” ทำให้เข้าใจพฤติกรรมของเกษตรกรในระดับอายุต่าง ๆ ในพื้นที่ ต่าง ๆ ดีขึ้นตลอดจนเข้าใจแรงจูงใจ สิ่งค้นพบที่น่าสนใจก็คือความสัมพันธ์ในชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนกระบวนการเพาะปลูกและใช้ประโยชน์จากดิจิทัล
การทดลองแนว “Social Lab” เช่นนี้ให้ข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถนำไปวิเคราะห์ เพื่อกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลิตภาพและเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของเกษตรกรปลูกข้าวได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างที่สาม ไอเดีย sandbox คือ การทดลองในบางเรื่อง หรือในบางพื้นที่ก่อนว่ามีปัญหามากน้อยและเป็นประโยชน์เพียงใด แท้จริงแล้วคือ “Social Lab” อย่างหนึ่ง ภูเก็ต sandbox ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ กล่าวคือในตอนโควิดระบาดหนักมีการยอมให้เกาะภูเก็ต เป็นสถานที่อนุญาตให้คนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศผ่านการเก็บตัวและตรวจโรค และปรับเปลี่ยนเงื่อนไขไปต่าง ๆ
โดยสังเกตผลที่เกิดขึ้นเป็นระยะเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเข้าใจธรรมชาติของการระบาดในประเทศไทย นอกจากจะได้นักท่องเที่ยวแล้วยังได้ข้อมูลและความรู้ในเรื่องการติดเชื้อจากสังคมอื่นอีกด้วย
ตัวอย่างที่สี่ การมีเขตพิเศษนวตกรรมการศึกษาก็คือการสร้าง “Social Lab” ด้านการศึกษา การเปิดช่องให้บางจังหวัด และบางโรงเรียนตามความสมัครใจเข้าร่วมโครงการ (8 จังหวัด 467 โรงเรียน) โดยสามารถใช้วิธีการเรียนการสอนที่เป็นนวตกรรม การใช้หนังสือเรียน การจัดสัดส่วนเวลาเรียน การวัดผลประเมิน ฯลฯ ที่ต่างออกไปจากโรงเรียนปกติ
เรื่องสำคัญที่จะเห็นผลในเวลาอีกไม่นานคือการนำร่องใช้หลักสูตรสมรรถนะแทนหลักสูตรเน้นเนื้อหาที่ใช้กันมายาวนาน หลักสูตรสมรรถนะเน้นการนำไปใช้ (ผนวกความรู้ ทักษะ และทัศนคติ เข้าด้วยกัน) ส่วนหลักสูตรปัจจุบันเน้นความรู้ โลกปัจจุบันต้องการคน “ทำ” ได้ ไม่ใช่แค่ “รู้”
เพื่อนบ้านเราและทั้งโลกเปลี่ยนไปใช้หลักสูตรสมรรถนะกันแล้ว ปัจจุบัน เราเรียนภาษาอังกฤษกันแบบเน้นความรู้ เราเรียนไวยากรณ์ สะกดคำ คำศัพท์อย่างแม่นยำ แต่เรียน 12 ปีแล้วพูดอังกฤษและเอาไปใช้งานไม่ได้ นี่คือข้อแตกต่างระหว่างสองหลักสูตร
ข้อมูลที่ได้จากโรงเรียนในเขตพิเศษนวตกรรมจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการประเมิน ปรับ แก้ไขเพิ่มเติมและขยายผลในเรื่องที่เหมาะสม ถ้าเราต้องการทำเรื่องใหม่บางเรื่องโดยไม่มี “Social Lab” ก็เหมือนกับขับเครื่องบินอย่างตาบอดบินขึ้นไปในท้องฟ้า โดยไม่รู้ว่าจะพบสภาวะอากาศอย่างใดบ้าง
หากหันมามองรอบตัวเราแล้วจะพบ Social Lab อยู่ทุกแห่งหน เช่น ชีวิตแต่งงาน หรือการอบรมเลี้ยงดูลูกในครอบครัวก็ตาม พ่อแม่ล้วนเพิ่งมีลูกกันเป็นครั้งแรก การจะเลี้ยงดูอบรมอย่างไรแท้จริงแล้วเป็นการค้นคว้า วิจัย หาความรู้อย่างไม่รู้ตัวไประหว่างทางทั้งนั้น
เช่น จะมีวิธีพูดหรือชักจูงให้กินอาหารที่มีประโยชน์กับลูกคนนี้อย่างไร จะใช้ค่านิยมแบบไหนที่จะให้ลูกมีคุณลักษณะตามที่ต้องการ พ่อแม่ต้อง ลองผิดลองถูกด้วยกันทั้งนั้นในแล็บที่สำคัญยิ่งนี้
การมองว่าโลกคือ “Social Lab” ที่มีการทดลองและได้ข้อสรุปใหม่ออกมาเสมอ จะทำให้เรายอมรับการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง และตระหนักว่าไม่มีความรู้ใดที่คงที่และตายตัว ความรู้อันเกิดจาก “Social Lab” ที่มีอยู่ทุกแห่งหนนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปกติที่เราต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ.