ซีพีเอฟ ยืนยันนำเข้าและทำลาย 'ปลาหมอคางดำ' รอบคอบถูกต้อง ตั้งแต่มกราคม 2554
"ศูนย์วิจัยและปรับปรุงพันธุ์ปลา" ภายใต้ "ซีพีเอฟ" ยืนยันนำเข้าและทำลาย "ปลาหมอคางดำ" อย่างรอบคอบถูกต้อง ตั้งแต่มกราคม 2554 พร้อมหนุนภาครัฐกำจัดเต็มที่
ศูนย์วิจัยและปรับปรุงพันธุ์ปลา ภายใต้ ซีพีเอฟ ยืนยันการดำเนินการตั้งแต่นำเข้า ปลาหมอคางดำ ในเดือนธันวาคม 2553 จนถึงการทำลายซากปลาทั้งหมดในเดือนมกราคม 2554 เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนด มั่นใจรอบคอบทุกขั้นตอน พร้อมสนับสนุนการทำงานภาครัฐใน การแก้ปัญหา การแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ณ ปัจจุบัน
เปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุดด้านการวิจัยและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กล่าวว่า ในส่วนงานสัตว์น้ำไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ โดยได้มีการทบทวนย้อนหลังสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 14 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การนำเข้าในเดือนธันวาคม 2553 ถึงวันทำลายในเดือนมกราคม 2554 มั่นใจได้ว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องและด้วยความรอบคอบตามหนังสือชี้แจงที่ได้นำส่งไปยังคณะกรรมาธิการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กมธ.)
เปรมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนหน่วยงานรัฐตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ด้าน ประกอบด้วย
1.) ทำงานร่วมกับกรมประมงในการสนับสนุนให้มีการรับซื้อปลาหมอคางดำไปผลิตเป็นปลาป่น
2.) ทำงานร่วมกับภาครัฐในการสนับสนุนการปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ
3.) สนับสนุนภาครัฐในการจัดกิจกรรมจับปลา
4.) สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำร่วมกับสถาบันการศึกษา
5.) สนับสนุนการวิจัยกับผู้ชำนาญการในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ
หนังสือชี้แจงไปยัง กมธ. มีรายละเอียด ดังนี้
ในปี 2553 บริษัทฯ ได้นำเข้าปลาจำนวน 2,000 ตัว ซึ่งพบว่า มีปลาสุขภาพไม่แข็งแรงและมีการตายจำนวนมากในระหว่างทาง ทำให้เหลือปลาที่ยังมีชีวิตแต่อยู่ในสภาพอ่อนแอเพียง 600 ตัว ซึ่งได้รับการตรวจสอบ ณ ด่านกักกันโดยกรมประมง ทั้งนี้เนื่องจากปลามีสุขภาพไม่แข็งแรง จึงมีการตายต่อเนื่องจนเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทฯ จึงตัดสินใจหยุดการวิจัยในเรื่องนี้ โดยได้มีการทำลายซากปลาหมอคางดำ ตามมาตรฐานและแจ้งต่อกรมประมง พร้อมส่งตัวอย่างซากปลา ซึ่งดองในฟอร์มาลีนทั้งหมดไปยังกรมประมงในปี 2554
นอกจากนี้ ในปี 2560 ที่เริ่มพบการแพร่ระบาดของ ปลาหมอคางดำ คณะผู้ตรวจเยี่ยมจากกรมประมง เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์มของบริษัทฯ ณ จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อขอข้อมูลจำนวนลูกปลาหมอคางดำที่นำเข้าเมื่อปี 2553 และการบริหารจัดการ ซึ่งนักวิจัยของบริษัทฯ ได้รายงานข้อเท็จจริงทั้งหมด ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ลงพื้นที่เยี่ยมฟาร์มอีกครั้ง ซึ่งนักวิจัยของบริษัทฯ ได้ชี้แจงถึงวิธีการทำลายปลาทั้งหมด โดยใช้สารคลอรีนเข้มข้นและฝังกลบซากปลาโรยด้วยปูนขาว และยืนยันว่าไม่ใช่สาเหตุของการแพร่ระบาดดังกล่าว