VISTEC เปิดโชว์เคสงานวิจัยเด่น ย้ำภารกิจผลิตนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ขับเคลื่อนไทย
“VISTEC” สถาบันการศึกษาระดับปริญญาโท-เอก เปิดโชว์เคสงานวิจัยเด่น ตอกย้ำภารกิจสำคัญ ปั้นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยคุณภาพ เป็นพลังขับเคลื่อนไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ท่ามกลางหลากวิกฤติที่ลากยาว ตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 มาจนถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน และซ้ำเติมด้วยสถานการณ์ค่าเงินผันผวนในหลายประเทศ จนสั่นสะเทือนความมั่นคงทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก และถูกจับตามองกันว่า นี่จะเป็น วิกฤติเศรษฐกิจ ครั้งใหญ่อีกครั้งบนหน้าประวัติศาสตร์โลกหรือไม่..
แน่นอนว่า หลังจากนี้ต่อไป หากต้องการจะอยู่รอดแบบไม่ตกขบวนในการเดินไปสู่อนาคตได้ หนึ่งในตัวแปรสำคัญ คือ “นวัตกรรม” ที่จะเป็นกุญแจไขสู่ทางออกให้กับทุกๆ ประเทศ
แต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยพบว่า “เทคโนโลยีขั้นสูง” ที่เกิดจากการพัฒนาโดยฝีมือคนไทยนั้น กลับยังมีไม่มาก และถือเป็นจุดเปราะบางที่จะมีส่วนให้ศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคตมีข้อจำกัด
แนวคิดก่อตั้ง สถาบันวิทยสิริเมธี หรือ VISTEC สถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงเริ่มต้นขึ้น ในพื้นที่วังจันทร์ วัลเลย์ (Wangchan Valley) จังหวัดระยอง โดย กลุ่ม ปตท. ซึ่งได้รับพระราชทานนามสถาบันฯ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดฯ เมื่อปี 2558
แหล่งเพาะบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จากวัตถุประสงค์ตั้งต้นที่หวังให้เป็นสถานศึกษาเชิงลึกผลิตบุคลากรชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เป็นกำลังหลักพลังหนึ่งในการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวสู่การแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างทัดเทียม ตลอดเวลาที่ผ่านมา สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ได้ดำเนินการผ่าน 3 ภารกิจที่สำคัญ คือ
- การสร้างนักวิจัยระดับโลกที่รอบรู้และมีความเป็นผู้นำ (Cultivate Global Well-versed Leader)
- การบุกเบิกการวิจัยวิทยาศาสตร์ใหม่เพื่อการสร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรม (Create Frontier Science and Innovation)
- การนำความรู้ไปขับเคลื่อนการพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและสอดรับกับทิศทางระดับโลก (Contribute to National Demands and Global Challenges)
ปัจจุบัน VISTEC เปิดการเรียนการสอนทั้งสิ้น 4 สำนักวิชา ประกอบด้วย 1.สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล (School of Molecular Science and Engineering: MSE) 2.สำนักวิชาวิทยาการพลังงาน (School of Energy Science and Engineering: ESE) 3.สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล (School of Biomolecular Science and Engineering: BSE) และ 4.สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (School of Information Science and Technology: IST)
ส่งเสริมเทคโนโลยีขั้นสูง หนุนไทยสู่อนาคต
ในปี 2565 VISTEC มุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลงานวิจัยที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการผลักดันสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังสร้างคุณค่าให้กับสังคม อันได้แก่
- นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ (AI and Robotics) เช่น แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถปรับใช้ได้กับบุคคลทั่วไป และหุ่นยนต์ที่สามารถใช้ได้ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
- นวัตกรรมการกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Energy Storage & Environmentally Friendly Innovation) เช่น การพัฒนาสารตั้งต้นสำหรับแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนให้มีระยะการใช้งานยาวนาน มีคุณภาพและมีความปลอดภัยที่สูงขึ้น รวมถึงการพัฒนาวัสดุที่สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซให้เป็นสารที่มีมูลค่าสูง
- นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เช่น การทำชีววิทยาสังเคราะห์และพัฒนาเอนไซม์เพื่อให้เกิดประโยชน์ในลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปตามการใช้งาน
บทพิสูจน์ความสำเร็จระดับนานาชาติ
จากการดำเนินงานภายใต้แนวทางดังกล่าวอย่างมุ่งมั่น ส่งผลให้เห็นว่าแม้จะก่อตั้งมาไม่ถึง 10 ปี แต่วันนี้ VISTEC สามารถสร้างผลงานจนได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติทั้งในด้านผลงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารระดับโลก และได้รับการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ Nature Index ให้เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยในด้านเคมี (Chemical sciences), วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life sciences) และวิทยาศาสตร์รวมทุกสาขา (All sciences) และเป็นอันดับ 2 ในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical sciences)
นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 3 ด้านเคมี (Chemical sciences) ในกลุ่ม ASEAN (ข้อมูล ณ วันที่ 14 กันยายน 2565) รวมถึงได้รับการจัดอันดับที่ 12 ของมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่ก่อตั้งมาไม่เกิน 30 ปี อีกด้วย
เปิดหัวข้องานวิจัยโดดเด่น
นอกจากนี้ ในปี 2565 “VISTEC” ยังได้ผลิตและพัฒนาผลงานวิจัยที่มีความโดดเด่น และมีความสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ
1. AI and Robotics
จากสำนักวิชาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IST) ที่เน้นงานวิจัยทางด้านระบบปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ อาทิ งานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถปรับใช้ในงานด้านต่างๆ สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านระบบ AI ให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในการใช้งานที่หลากหลายโดยใช้ฐานข้อมูลที่น้อยลง มาใช้แก้ปัญหาใหม่ที่ข้อมูลหายากหรือมีค่าใช้จ่ายสูง
และยังมีงานวิจัยทางด้านหุ่นยนต์ ได้แก่ การพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนไหวในพื้นที่ซับซ้อนโดยได้รับแรงบันดาลใจของการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ เช่น แมลงหรือหนอน เป็นต้น
งานวิจัยดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนที่และใช้งานในพื้นที่ที่ซับซ้อน เข้าถึงยากและเป็นอันตรายในภาคอุตสาหกรรม
อีกทั้งยังมีงานวิจัยระบบต้นแบบเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฝึกเดินเสมือนจริงอัจฉริยะ เพื่อใช้ในการศึกษาการควบคุมการทำงานของระบบหุ่นยนต์ช่วยเหลือทางการแพทย์ที่มีข้อมูลป้อนกลับจากสัญญาณชีวภาพและชีวกลศาสตร์ เช่น สัญญาณคลื่นสมอง, สัญญาณการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยการประมวลผลผ่านแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียม ซึ่งระบบสามารถปรับตัวทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยสนับสนุนและฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานแต่ละบุคคล
2. Energy, Materials & Environment
จากสำนักวิชาวิทยาการพลังงาน (ESE) และสำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล (MSE) ซึ่งมุ่งเน้นงานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน พัฒนาแบตเตอรี่และวัสดุคุณภาพภาพสูง เช่น การวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน ทั้งในด้านของวัสดุที่ใช้ทำขั้วบวกและขั้วลบ การสร้างสารละลายอิเล็กโตรไลต์ชนิดใหม่ที่มีความเสถียรและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
งานวิจัยด้านการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยานาโนยุคใหม่จากขยะหรือสารไร้มูลค่าเพื่อประยุกต์ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมียุคใหม่ รวมทั้งอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยา
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่สามารถเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารที่มีมูลค่าสูง เช่น สารนำพาประจุในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงการเปลี่ยนให้เป็นพอลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติพิเศษขั้นสูงและสารดูดซับขั้นสูงที่มีรูพรุนพิเศษเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน รวมถึงการพัฒนาวัสดุโปร่งใสที่สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า (Luminescent solar concentrator: LSC) อีกด้วย
3. Biotechnology
จากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล (BSE) ซึ่งมุ่งเน้นทางด้านการพัฒนาด้านเซลล์และเอนไซม์ในระดับสูงเพื่อใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการแพทย์ และการเพิ่มมูลค่าของขยะอินทรีย์ โดยมีงานวิจัย อาทิ การพัฒนางานวิจัยด้านชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อออกแบบและสร้างเทคโนโลยีชีวภาพในระดับเซลล์ขึ้นมาใหม่ รวมถึงวิวัฒนาการสร้างเอนไซม์ชนิดใหม่เพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นประโยชน์และก่อให้เกิดสารมีมูลค่าเพิ่ม เช่น ฮอร์โมนพืชภายใต้ชื่อ BioVis งานวิจัยด้านการใช้สารชีวภาพโดยเฉพาะเอนไซม์ที่มีความจำเพาะต่อสารที่ต้องวิเคราะห์อย่างสูง เพื่อวัดปริมาณการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นการสร้างอุปกรณ์ต้นแบบและนวัตกรรมทางเคมีไฟฟ้าหรือการเปล่งแสงเพื่อการประยุกต์ใช้งานได้จริง
รวมถึงการศึกษาโครงสร้างของเอนไซม์เฉพาะทางเพื่อสร้างผลิตผลที่มีมูลค่าสูง เช่น ความสามารถในการเพิ่มผลิตผล เช่นสร้างน้ำตาลที่เกิดได้ยากและมีราคาสูงสำหรับตลาคเคมีภัณฑ์ และการพัฒนาโครงสร้างของอนุพันธุ์ไคโตโอลิโกแซคคาร์ไรด์ที่มีฤทธิ์เป็นยาต้านจุลชีพใหม่ เป็นต้น
ยกงานวิจัยจากหิ้งสู่การใช้จริงในเชิงพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหรืองานค้นคว้าใดๆ ที่แม้จะเป็นเลิศในเชิงเทคโนโลยีขนาดไหน แต่หากไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ ก็ถือว่าไร้ประโยชน์ หลักคิดของ “VISTEC” จึงให้ความสำคัญของการนำผลงานวิจัยชั้นแนวหน้าเข้าสู่การพัฒนาเพื่อผลักดันให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ได้จริง โดยจัดตั้งนิติบุคคลภายใต้ชื่อ บริษัท วิสอัพ จำกัด (VISUP Company Limited) เพื่อทำหน้าที่บ่มเพาะและผลักดันให้เกิดวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) แบบเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep technology)
โดยปัจจุบันมีโครงการที่จัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วคือ บริษัท วิสัย เอไอ จำกัด (VISAI Company Limited) มีผลิตภัณฑ์หลักคือการพัฒนาแพลตฟอร์มทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบุคคลทั่วไป และในอนาคตยังมีแผนผลักดันให้เกิด Startup อีกอย่างน้อย 3 โครงการภายในปี 2025
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการบ่มเพาะบุคลากรด้าน เทคโนโลยี และ นวัตกรรม ที่มีคุณภาพทัดเทียมสากล สู่การเป็น “ทุนมนุษย์” ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการร่วมขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย ให้ก้าวสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน