นวัตกรรม 'อากาศสะอาด' รับเทรนด์บ้าน-คอนโดยุคใหม่
เทรนด์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ที่อยู่อาศัย 3 เทรนด์หลักๆ คือ ด้านความปลอดภัย พลังงาน และอากาศสะอาด โดยเฉพาะหลังการระบาดของโควิด-19 รวมถึงค่า PM2.5 ที่สูงเกินค่ามาตรฐาน ทำให้หลายคนมองหาเครื่องฟอกอากาศ และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทำให้ 'อากาศสะอาด' เพิ่มมากขึ้น
ข้อมูลด้านพฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ในประเภทบ้านเดี่ยว จาก SC Asset ปี 2566 เผยว่า อันดับต้น ๆ คือ ความต้องการด้านนวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ มากถึง 83% รองลงมาSmart Home ด้านความปลอดภัย 75% และ ด้านความสะดวกสบาย 66% จะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายปัจจุบันมองหาด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ทุกมิติในชีวิตประจำวัน
ในตลาดอสังหาฯ และ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ปัจจุบัน จึงเริ่มมีการมองเรื่องการตอบโจทย์การใช้ชีวิตและเทรนด์ของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตอบโจทย์ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุที่ไม่มีสารเคมี ลดใช้พลังงาน และสิ่งที่หลายคนคำนึงถึง คือ การสร้างให้พื้นที่อยู่อาศัยเป็นพื้นที่ปลอดภัยโดยเฉพาะอากาศภายในบ้าน
เมื่อย้อนดูตลาดเครื่องฟอกอากาศในประเทศไทยเรียกว่าเติบโตเป็นอย่างมาก ในปี 2562 ที่ผ่านมา ข้อมูลจาก Euro Monitor พบว่า มีมูลค่าราว 91 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2,800 ล้านบาท สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกว่า 90% เป็นกลุ่มสินค้าระดับล่างถึงกลาง ราคาตั้งแต่หลักพันจนถึงราวสามหมื่นบาท ขณะที่ กลุ่มพรีเมียมมีสัดส่วนเพียง 10% หรือราว 280 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดกว่า 80% เป็นแบรนด์นำเข้าจากญี่ปุ่น เกาหลี จีน และแบรนด์ไทย OEM ที่เหลือเป็นแบรนด์ฝั่งยุโรป – อเมริกา 20%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
4 เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่
ดิเรก ตยาคี Head of Tech Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset กล่าวในงานแถลงข่าว 'SCG จับมือ SC ASSET รับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ 2023 ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยอีกขั้น ดันนวัตกรรม “SCG Active AIR Quality” เผยให้เห็นว่า เทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคปัจุบัน มีความหลากหลายมากขึ้น มองหาสิ่งที่มาตอบโจทย์แตกต่างกัน จากการสำรวจของ Terra BKK แบ่งผู้บริโภค 4 กลุ่ม ได้แก่
'Modest' (35%) กลุ่มเจน X และเจน Y รายได้ตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท มีความพึงพอใจกับชีวิตของตัวเองในระดับปานกลาง แต่สิ่งที่รู้จักพอใจที่สุด คือ เรื่องสุขภาพที่ไม่ต้องคอยกินยาหรือหาหมอตลอดเวลา ฟังก์ชันที่จำเป็นต่อบ้านและคอนโด คือ การจัดการคุณภาพอากาศ การออกแบบเพื่อผู้สูงอายุ ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย
“Striver” (30%) เป็นกลุ่มเจน Y และ เจน Z รายได้ระหว่าง 35,000 – 85,000 บาท เป็นกลุ่มที่มุ่งแสวงหาความสำเร็จในชีวิต และยังไม่พึงพอใจกับรายได้ของตัวเอง รักการออกไปท่องเที่ยว เพื่อหาความสุขและประสบการณ์ใหม่ๆ ฟังก์ชันที่จำเป็นในกลุ่มนี้ อาทิ วัสดุยับยั่งแบคทีเรียและเชื้อโรค นวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ ความปลอดภัย ครัว ห้องนั่งเล่น ระเบียง เป็นต้น
“Innocent” (20%) ทุกเจนเนอเรชั่น รายได้ ต่ำกว่า 24,000 บาท พึงพอใจกับชีวิตของตัวเองอย่างมากที่สุด โดยเฉพาะด้านสภาพสังคมโดยรอบทั้งครอบครัวและเพื่อน ฟังก์ชันที่จำเป็น คือ นวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ ความปลอดภัย ห้องนอนขนาดใหญ่ เป็นต้น
และ “Transcend” (15%) เจน Baby Boomer และ เจน X รายได้มากกว่า 100,000 บาท รู้สึกพอใจกับชีวิตในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องเงินและรายได้ รวมถึงชีวิตสังคมรอบตัวเป็นสังคมที่ดี แต่มีความกังวลเรื่องสุขภาพ ดังนั้น ฟังก์ชันที่จำเป็นต่อบ้านและคอนโด อาทิ ห้องนอนล่าง ครัวไทย ที่ชาร์จรถ EV ความปลอดภัย ห้องนอนขนาดใหญ่ หน้าต่างบานใหญ่ เป็นต้น
เติมอากาศสะอาดภายในบ้าน
“วชิระชัย คูนำวัฒนา” Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครติดอันดับต้นๆ ของเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดของโลก แม้แต่อยู่ในบ้านยังต้องเสี่ยงกับฝุ่น PM 2.5 เชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และมลพิษที่ลอยอยู่ในอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง
ล่าสุด เอสซีจี ได้เล็งเห็นและเข้าใจถึงความสำคัญด้านสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภค เป็นที่มาสู่การพัฒนาสินค้าเพื่อยกระดับคุณภาพอากาศที่คนเมืองกำลังเผชิญ ร่วมออกแบบกับ SC Asset ในการผลักดันสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพอากาศ ผ่านนวัตกรรม ‘SCG Active AIR Quality’ เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 กรองและกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย สร้างอากาศแรงดันบวกภายในห้อง
เติมออกซิเจนให้กับตัวบ้าน ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ โดยติดตั้งให้กับโครงการบ้าน SC Asset ซึ่งเอสซีจีมีทีมงาน Smart Living Solution Tech พร้อมร่วมออกแบบระบบ SCG Active AIR Quality ให้เหมาะสมกับงานโครงการแต่ละประเภท ผลักดันโซลูชันเพื่ออากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีสำหรับทุกคนในบ้าน
“ในปี 2566 เอสซีจีได้วางกลยุทธ์ให้สินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เดินหน้ารุกตลาด Housing Project ให้เครื่องเติมอากาศดีเป็นส่วนสำคัญของบ้าน โดยร่วมกันกับทางโครงการตั้งแต่การ Co-Design แบบก่อสร้างเพื่อออกแบบวิธีการติดตั้งที่ได้ทั้งความสวยงามและฟังก์ชัน ตลอดจนการบริการหลังการขายที่ดูแลอย่างมืออาชีพและครบวงจร"
นวัตกรรมดังกล่าว สอดรับกับเทรนด์ความต้องการและพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภคปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นให้ความสนใจในด้านเทคโนโลยีทันสมัย ที่ตอบโจทย์เรื่องสุขอนามัย และความปลอดภัยเป็นสำคัญ จึงได้นำร่องติดตั้งเครื่องเติมอากาศดี กว่า 1,000 ยูนิต ภายในปี 2566 ปัจจุบันนำร่องติดตั้งไปแล้ว 8 โครงการแนวราบ 106 ยูนิต เพื่อยกระดับคุณภาพและร่วมผลักดันมาตรฐานอีกขั้นให้กับบ้านที่พักอาศัยยุคใหม่
“พร้อมตั้งเป้าผลักดันยอดขาย SCG Active AIR Quality ที่ 100 ล้านบาท ภายในปี 2566 โดยโฟกัสไปยังโครงการบ้าน รวมถึงเจ้าของบ้านทั่วประเทศ ที่ใส่ใจสุขภาพ และความปลอดภัย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กในบ้าน กลุ่มเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ ผู้สูงอายุ และยังรวมไปถึงบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงอีกด้วย” วชิระชัย กล่าว