“ข้อมูลความยั่งยืนองค์กร” ต้องไม่ถูกลดทอนเป็นแค่การฟอกเขียว
องค์กรเอกชน หรือหน่วยงานที่ต้องสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก เช่น หน่วยงานรัฐบาล หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ต่างตระหนักว่าการจัดทำและการเปิดเผยข้อมูลในรายงานประจำปีเป็นภารกิจสำคัญ
เพราะเป็นสิ่งสะท้อนประสิทธิภาพความโปร่งใสของการดำเนินงานต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ที่การเปิดเผยข้อมูลจะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ได้กำหนดแนวทางการจัดทำรายงานประจำปีไว้อย่างชัดเจน การจัดทำรายงานของบริษัทจดทะเบียนจึงถูกคาดหวังว่าต้องมีครบถ้วน สมบูรณ์ สอดคล้องกับการดำเนินงานอย่างแท้จริง
รวมถึง “ข้อมูลความยั่งยืนองค์กร” ก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ ก.ล.ต. กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยเพิ่มเติมจากรายงานประจำปีในรูปแบบเดิม ผ่านการจัดทำรายงานประจำปีด้วยแบบ 56-1 One Report เพื่อแสดงถึงนโยบาย ผลกระทบ และผลการดำเนินงาน “ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของธุรกิจ”
ภายใต้ระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้ใช้ข้อมูลได้เห็นถึงมุมมอง การดำเนินธุรกิจในมิติที่กว้างกว่าข้อมูลทางการเงินและการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อองค์กรอย่างรอบด้าน
แต่ การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนองค์กร มีโอกาสถูกตั้งคำถามว่าจะเป็นเพียงการ “ฟอกเขียว” หรือจะเป็นเพียงการเกาะกระแสความยั่งยืนหรือไม่
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ)โดยทีมการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน เล็งเห็นความเสี่ยงดังกล่าว จึงตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนองค์กร ทั้งในมุมของบริษัทจดทะเบียน และผู้ใช้ข้อมูล ไปจนถึงสาธารณชนเห็นว่า การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนองค์กร ไม่ได้เป็นแค่การจัดทำรายงานแบบผิวเผิน หรือหวังลดการตรวจสอบเท่านั้น
จากการศึกษาและถอดบทเรียนจากการจัดทำรายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน ในดัชนี SET100 ทีมวิจัยได้พบว่าการให้ความสำคัญกับ “กระบวนการ” ที่ได้มาซึ่งข้อมูลความยั่งยืนองค์กร ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ประเด็นที่มีนัยสำคัญ (Materiality Assessment)
ที่เน้นสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีกระบวนการวัดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนขององค์กร
และเพื่อเป็นประโยชน์แก่บริษัทจดทะเบียน รวมทั้งองค์กรที่มีความสนใจในการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนหรือข้อมูล “ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม” ขององค์กร
ทีมวิจัยจึงเสนอ “10 ประเด็นสำคัญในการจัดทำรายงานความยั่งยืน” เพื่อยกระดับการจัดทำรายงานความยั่งยืนของภาคธุรกิจ ดังนี้
1.ปรับมุมมองต่อรายงานความยั่งยืน ว่าเป็นมากกว่าการเปิดเผยข้อมูลหรือการจัดทำรายงาน เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้องค์กรบริหารจัดการประเด็นด้านความยั่งยืน และรู้ว่าประเด็นที่สำคัญที่ต้องดำเนินการคืออะไร
โดยเชื่อมโยงไปกับกลยุทธ์ และการดำเนินงานหลักขององค์กร เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กร และไม่เพิ่มภาระให้แก่ผู้ปฏิบัติงานโดยไม่จำเป็น
2.เลือกใช้กรอบการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นไปตามกรอบมาตรฐาน ข้อบังคับ ความเหมาะสม และทรัพยากรขององค์กร นอกจากกรอบการเปิดเผยข้อมูลภาคบังคับแล้ว องค์กรที่เปิดเผยข้อมูลอาจพิจารณาใช้กรอบ หรือมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นภาคความสมัครใจตามความเหมาะสม
3.มีกระบวนการประเมินประเด็นความยั่งยืนที่สำคัญ (Materiality Assessment) เป็นจุดตั้งต้น และหัวใจสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนองค์กร เพื่อระบุและจัดลำดับประเด็นที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งด้านบวกและลบ
ในกระบวนการนี้ต้องคำนึงถึงการวิเคราะห์กิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง องค์กรควรต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ Materiality Assessment ในแง่รายละเอียดของกระบวนการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในกระบวนการ และความถี่ของการจัดทำด้วย
4.ต้องมีกระบวนการรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเข้าใจความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละกลุ่ม เพื่อให้การตอบสนองความคาดหวังเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในอนาคต
5.ทบทวนและปรับปรุงประเด็นความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญ เมื่อมีปัจจัยที่เข้ามากระทบอย่างสม่ำเสมอ เช่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์หรือการดำเนินงานขององค์กร ความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่องค์กรต้องเผชิญ หรือ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
6.ใช้กรอบ SDGs หรือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบกับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลอื่น ๆ เข้ามาช่วยในการมองประเด็นด้านความยั่งยืนในภาพใหญ่ พร้อมเชื่อมโยงกับประเด็นที่มีนัยสำคัญและกลยุทธ์องค์กร
7.วางโครงสร้างองค์กร และการกำกับดูแลที่เอื้อต่อการขับเคลื่อนประเด็นด้านความยั่งยืน ผู้บริหารให้ความสำคัญ มีคณะทำงาน คณะกรรมการ หรือฝ่ายที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างชัดเจน รวมถึงภายในองค์กรได้รับการสื่อสารถึงความสำคัญ บทบาท หน้าที่ของตัวเองที่ชัดเจน
8.กำหนดตัวชี้วัด และเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่เชื่อมกับกลยุทธ์ และประเด็นที่มีนัยสำคัญ นอกจากนี้การเปิดเผยเป้าหมายควรเปิดเผยบริบทที่สำคัญด้วย เช่น การวัดผลเป็นระยะ ปีฐาน ปีที่บรรลุเป้าหมาย รวมถึงแผนงาน
9.ลงทุนในเครื่องมือ และระบบการเก็บข้อมูลที่เหมาะสม โดยอาจพิจารณาเลือก และพัฒนาเครื่องมือการเก็บข้อมูลความยั่งยืนองค์กรตามความพร้อม และทรัพยากรที่มีเพื่อให้เจ้าของข้อมูลในฝ่ายงานต่างๆ สามารถบันทึก และเรียกดูข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10.ใช้ผู้สอบทานอิสระเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้ข้อมูล โดยอาจพิจารณาจากตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่เป็นไปตามข้อบังคับ หรือมีนัยสำคัญก่อน แล้วค่อยขยายขอบเขตเมื่อมีความพร้อมเพิ่มขึ้น
ข้อเสนอแนะเหล่านี้ ทีมวิจัยได้นำเสนอในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ “Sustainability reporting ของภาคธุรกิจ คิดและทำอย่างไรให้ครอบคลุมประเด็นความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญ”
โดยมีตัวแทนจากบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย หน่วยงานกำกับดูแล นักวิชาการ และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ มาเข้าร่วมกิจกรรม งานสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
สิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกันในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการคือ ทุกฝ่ายเห็นเป้าหมาย และประโยชน์ร่วมกันของการยกระดับ การจัดทำรายงานความยั่งยืน
และพบว่ากระบวนการจัดทำและเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ไม่มี “สูตรสำเร็จตายตัว” เพราะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของแต่ละองค์กรมีมุมมอง ความต้องการที่แตกต่าง
ดังนั้นแต่ละองค์กรที่มี “การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนองค์กร” จะต้องเปิดให้มีการรับฟัง และแลกเปลี่ยนร่วมกันอย่างเพียงพอ เพื่อให้ “การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนองค์กร” เป็นการสร้างกรอบความรับผิดรับชอบที่มีการตกลงร่วมกัน
ไม่เป็นเพียงแค่ “ผลผลิต” ของกระบวนการ และไม่ถูกลดทอนว่าเป็นเพียงการฟอกเขียว แต่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เกิดผลประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง.
คอลัมน์ วาระทีดีอาร์ไอ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ)
ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์
ขจรพงศ์ ประศาสตรานุวัตร
เอกปวีณ อนุสนธิ์
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์