สนค. หนุนผู้ประกอบการปรับตัวผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนธุรกิจแนวใหม่จะต้องมีการผลิตที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค
รวมถึงเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กล่าวว่า สนค. ได้ติดตามแนวโน้มความต้องการเสื้อผ้าที่ผลิตจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิล (Textile recycling) ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค โดยวัสดุที่นำมารีไซเคิลมีทั้งสิ่งทอก่อนการใช้งาน (Pre-consumer) เช่น เศษด้ายหรือผ้าเหลือใช้ในโรงงาน และสิ่งทอหลังการใช้งาน (Post-consumer) เช่น เสื้อผ้าเก่าและของใช้ในบ้าน สำหรับตลาดเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลของโลกมีมูลค่าประมาณ 5.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 และคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2575 หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงร้อยละ 10.7 ต่อปี
สาเหตุที่หลายภาคส่วนหันมาผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลเพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มแบบเดิมส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม โดยการผลิตสิ่งทอทั้งโลกมีการใช้น้ำประมาณ 9.3 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีการปล่อยน้ำเสียร้อยละ 20 ของการปล่อยน้ำเสียทั่วโลก
นอกจากนี้อุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 1.7 พันล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 8-10% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก ซึ่งมากกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางทะเลรวมกัน ดังนั้นหากมีการผลิตสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค อาจจะก่อให้เกิดมลพิษจากการผลิต และกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
ผอ.สนค. ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันบริษัทเสื้อผ้าชั้นนำเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติด้านอุตสาหกรรมแฟชั่นว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Fashion Industry Charter for Climate Action) โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ส่งผลให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าปรับเปลี่ยนการออกผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลเพิ่มขึ้น อาทิ สหรัฐอเมริกา แบรนด์ Patagonia ซึ่งผลิตเสื้อผ้าสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง มีเสื้อผ้าร้อยละ 70 ที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล สวีเดน แบรนด์ H&M และ ญี่ปุ่น แบรนด์ UNIQLO มีการรับเสื้อผ้าที่ใช้แล้วไปผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเสื้อผ้าใหม่
ในส่วนประเทศไทย มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิลปี 2575 จะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 0.5 ของมูลค่าตลาดเสื้อผ้าทั้งหมดของไทย โดยมีผู้ประกอบการไทยหลายรายปรับตัวมาผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุสิ่งทอรีไซเคิล อาทิ แบรนด์ Circular ได้นำเศษผ้า และเสื้อผ้าเก่าไปแปลงสภาพเป็นสิ่งทอรีไซเคิลที่นำไปผลิตเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์ เพื่อขายทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงแบรนด์ Moreloop ที่เป็นบริษัทสตาร์ตอัป ได้นำผ้าที่เหลือจากกระบวนการผลิตของโรงงานเสื้อผ้ามาผลิตเป็นเสื้อผ้าและกระเป๋า อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเป็นตัวกลางระหว่างโรงงานที่ต้องการขายผ้าเหลือ และผู้ซื้อต้องการผ้าในตลาดออนไลน์
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสิ่งทอรีไซเคิล สามารถดำเนินการจัดทำมาตรฐานที่ทั่วโลกให้การยอมรับซึ่งโดยส่วนใหญ่อยู่บนหลักความสมัครใจ อาทิ Global Recycle Standard (GRS) คือ มาตรฐานระหว่างประเทศที่ได้รับการรับรองจากองค์กรด้านสิ่งทอในต่างประเทศ เพื่อบ่งบอกว่าบริษัทผลิตสินค้าที่มาจากการรีไซเคิลที่ยั่งยืน รวมทั้งการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลที่เป็นมิตรต่อคน และสิ่งแวดล้อม รวมถึง OEKO-TEX® Standard 100 คือ การทดสอบมาตรฐานสินค้าระดับสากลของสถาบันทดสอบสิ่งทอ (The International Association for Research and Testing in the Field of Textile Ecology) โดยใช้การทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ตรวจสารตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ตรวจสอบในเรื่องของกระบวนการผลิต และการประกันคุณภาพสินค้า ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการจะต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศคู่ค้าควบคู่กันไปด้วย อาทิ สหภาพยุโรป มีฉลากสิ่งแวดล้อมแห่งสหภาพยุโรป (EU Ecolabel/EU Flower) ที่ระบุ สรรพคุณสินค้าได้ว่ามีมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมที่สูง และเป็นมิตรต่อทั้งผู้ใช้ และสิ่งแวดล้อม สหราชอาณาจักร มีฉลากชนิดเส้นใย และอัตราส่วนผสม (Fiber name and fiber composition) เพื่อระบุชื่อเส้นใยหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ตามที่กฎหมายระบุให้ประชาชนรับทราบ
กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับนโยบายที่เกี่ยวกับการค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาสินค้าบนพื้นฐาน BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นแนวคิดการลดขยะและมลพิษ รวมทั้งการหมุนเวียนวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ อาทิ โครงการพัฒนาสินค้าผ้าไทยสู่ตลาดโลกด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ที่นำเศษผ้าจากการตัด และทอผ้า มาเรียงสีแล้วนำไปทอใหม่ก่อนนำไปตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า นอกจากนี้ยังมีโครงการ Local+ (โลคัล พลัส) ที่ผลักดันสินค้าท้องถิ่นที่รักษาสิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญา และมีนวัตกรรม ตัวอย่างเช่น การพัฒนาเสื้อผ้า “ผ้ามัดย้อมมูลวัว” ที่นำมูลวัวมาเป็นน้ำย้อมผ้า นับเป็นการนำของเสียมาแปรรูปให้เกิดมูลค่า ซึ่งถือเป็นการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ตลาดเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลนับเป็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่น่าจับตามองในอนาคต เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงควรให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการทั้งเรื่องการส่งเสริมองค์ความรู้ และการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตเสื้อผ้ารีไซเคิลของไทย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการรับรองมาตรฐานสิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายช่องทางการตลาดระดับโลกโดยเฉพาะคู่ค้าที่ให้ความสำคัญแก่สิ่งแวดล้อม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์