ถอดบทเรียนการสร้างเมืองน่าอยู่ที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ

ถอดบทเรียนการสร้างเมืองน่าอยู่ที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ

ยุคที่เมืองทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างเมืองน่าอยู่ทางเศรษฐกิจ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่เมืองต่างๆ เช่น เวียนนา โคเปนเฮเกน สิงคโปร์ และเมลเบิร์น ได้แสดงถึงการพัฒนาเศรษฐกิจดำเนินการควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้

การพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ทางเศรษฐกิจ ต้องเริ่มจากการวางรากฐานที่มั่นคงด้านการคลัง ดังเช่นกรณีของเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่มีระบบการจัดการงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ มีการกระจายแหล่งรายได้ และมีนโยบายที่อยู่อาศัยที่เข้มแข็ง โดย 60-70% ของที่อยู่อาศัยใหม่ในเวียนนาได้รับการอุดหนุนจากรัฐ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพได้

สิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ จากการพัฒนาทั้งภาคการเงิน การศึกษา การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีการลงทุนอย่างมากในโครงการ ABC Waters ที่บูรณาการการจัดการน้ำเข้ากับพื้นที่สาธารณะ สร้างประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

คูริติบาของบราซิลมีความโดดเด่นด้านระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ ด้วยระบบ Bus Rapid Transit (BRT) ที่ช่วยลดต้นทุนการเดินทางของประชาชน ลดมลพิษ และกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวเส้นทางขนส่ง ขณะที่โคเปนเฮเกนของเดนมาร์กเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับจักรยาน ส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าใช้จ่าย

เมลเบิร์นของออสเตรเลีย แสดงให้เห็นความสำเร็จในการพัฒนาย่านธุรกิจที่มีชีวิตชีวา ด้วยการออกแบบพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพ การอนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์ และการส่งเสริมวัฒนธรรมคาเฟ่และร้านค้าริมถนน ส่งผลให้เมลเบิร์นได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ระดับต้นๆ ของโลก

โตเกียวของญี่ปุ่นโดดเด่นด้านการพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมที่ทันสมัย เช่น อุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ที่ช่วยปกป้องเมืองจากภัยธรรมชาติ ลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากภัยพิบัติเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเมืองน่าอยู่ทางเศรษฐกิจ

อัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์เป็นตัวอย่างที่ดีในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการส่งเสริมนวัตกรรม เมืองมีพื้นที่สำหรับสตาร์ทอัพ การวิจัยและพัฒนา รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สร้างงานคุณภาพสูงให้กับประชาชน

แวนคูเวอร์ของแคนาดาได้รับการยอมรับในด้านการพัฒนาเมืองสีเขียว มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การส่งเสริมอาคารประหยัดพลังงาน และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสทางธุรกิจในภาคเศรษฐกิจสีเขียว

มิวนิคของเยอรมนีแสดงให้เห็นความสำเร็จในการผสมผสานระหว่างอุตสาหกรรมดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เมืองมีทั้งบริษัทรถยนต์ชั้นนำ ศูนย์วิจัยและพัฒนา และสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี สร้างระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและหลากหลาย

โซล เกาหลีใต้ โดดเด่นด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการเมือง ทั้งระบบขนส่งอัจฉริยะ การจัดการพลังงาน และการให้บริการประชาชน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการบริหารจัดการเมือง

เมืองเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างเมืองน่าอยู่ทางเศรษฐกิจต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน

ด้วยการใช้แนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง โดยคำนึงถึงทรัพยากรที่มี ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และความต้องการของประชาชน ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จากการผสมผสานนโยบายที่เหมาะสมและมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเมืองในประเทศกำลังพัฒนา การประยุกต์ใช้บทเรียนเหล่านี้ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณ โดยอาจเริ่มจากโครงการขนาดเล็กที่สร้างผลกระทบสูง เช่น การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเส้นทางหลัก การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะในย่านเศรษฐกิจสำคัญ หรือการส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กในชุมชน

นอกจากนี้ ควรแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศเพื่อระดมทุนและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเมือง

สำหรับกรณีของประเทศไทย การพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ทางเศรษฐกิจมีความท้าทายที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและเมืองหลักในภูมิภาค ปัญหาการจราจรติดขัด การขาดระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพในหลายพื้นที่ และการกระจุกตัวของการพัฒนาในเขตเมืองชั้นใน ล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและต้นทุนการดำเนินธุรกิจ

การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุม การส่งเสริมการพัฒนาเมืองแบบกระชับ (Compact City) การกระจายศูนย์กลางเศรษฐกิจไปสู่เมืองรอง และการพัฒนาพื้นที่สีเขียวให้เพียงพอ จึงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องได้รับการผลักดัน

นอกจากนี้ การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อธุรกิจสตาร์ทอัพ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเมืองไทยในระยะยาว

การสร้างเมืองน่าอยู่ทางเศรษฐกิจเป็นการลงทุนระยะยาว ที่จะส่งผลดีต่อทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชนและความสามารถในการแข่งขันของเมือง เมืองที่ประสบความสำเร็จจะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งการลงทุน แรงงานที่มีคุณภาพ และโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต.