14 ม.ค. วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ผืนป่าไทยลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี

14 ม.ค. วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ผืนป่าไทยลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี

วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ รณรงค์ให้คนระลึกถึงบทบาทสำคัญของป่าไม้ในชีวิตและความเร่งด่วนในการปกป้องและฟื้นฟูป่าไม้สำหรับคนรุ่นหลัง เราสามารถร่วมกันทำให้เกิดความแตกต่างและสร้างโลกที่เขียวขจีสำหรับทุกคน

KEY

POINTS

  • วันที่ 14 มกราคมของทุกปีเป็นวันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ
  • ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ 101,818,155.76 ไร่ หรือคิดเป็น 31.47% ของพื้นที่ประเทศ
  • ความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการอนุรักษ์ป่าไม้ยังสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในโครงการระดับโลก เช่น Bonn Challenge
  • ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 23 ของโลกในแง่ของพื้นที่ป่าไม้

วันที่ 14 มกราคมของทุกปี เป็นวันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ซึ่งเป็นวันที่เน้นความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าไม้ของประเทศไทย เพื่อเตือนถึงความสำคัญของป่าไม้ในการรักษาสมดุลทางนิเวศวิทยา สนับสนุนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน

ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าธรรมชาติประมาณ 16.9 ล้านเฮกตาร์ หรือประมาณ 33% ของพื้นที่ประเทศ ป่าไม้เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งไม้ แต่ยังให้บริการระบบนิเวศที่สำคัญ เช่น ช่วยสะสมคาร์บอน อุ้มน้ำ และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด

ถึงแม้ป่าไม้จะมีความสำคัญ แต่ป่าไม้ของประเทศไทยยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของการเกษตร การตัดไม้ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

ปี 2566 ถึงปี 2567 พบว่า ผืนป่าของไทยลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี มีการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ถึง 317,819.20 ไร่ จากปี 2565 ที่มีพื้นที่ป่าไม้เหลือ 102,135,974.96 ไร่ หรือ 31.57% ของพื้นที่ประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ 101,818,155.76 ไร่ หรือคิดเป็น 31.47% ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งมีพื้นที่ป่าไม้ที่ยังคงสภาพไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด 101,627,819.86 ไร่ และพื้นที่อื่นๆ ที่เปลี่ยนสภาพเป็นพื้นที่ป่าไม้อีก 190,335.90 ไร่

สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้แบ่งตามรายภูมิภาค

  1. ภาคกลาง มีพื้นที่ป่าไม้ 12,263,466.16 ไร่ หรือ 21.55% ของพื้นที่ภูมิภาค ลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 171,143.04 ไร่
  2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ป่าไม้ 15,608,130.07 ไร่ หรือ 14.89% ของพื้นที่ภูมิภาค ลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 87,575.79 ไร่
  3. ภาคตะวันออก มีพื้นที่ป่าไม้ 4,703,353.52 ไร่ หรือ 21.82% ของพื้นที่ภูมิภาค ลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 7,874.77 ไร่
  4. ภาคตะวันตก มีพื้นที่ป่าไม้ 20,033,806.37 ไร่ หรือ 58.86% ของพื้นที่ภูมิภาค ลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 49,667.70 ไร่
  5. ภาคใต้ พื้นที่ป่าไม้ 11,232,880.27 ไร่ หรือ 24.34% ของพื้นที่ภูมิภาค เพิ่มขึ้นจากปี 2565 เท่ากับ 8,395.32 ไร่
  6. ภาคเหนือ มีพื้นที่ป่าไม้ 37,976,519.37 ไร่ หรือ 63.24% ของพื้นที่ภูมิภาค ลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 171,143.04 ไร่

ความพยายามของไทย

กรมป่าไม้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ป่าไม้ในประเทศไทย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีการดำเนินโครงการต่างๆ เช่น โครงการปลูกป่า การจัดตั้งพื้นที่คุ้มครอง และการจัดการป่าไม้โดยชุมชน เพื่อสู้กับการตัดไม้ทำลายป่าและส่งเสริมการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายอยู่ เช่น การตัดไม้ทำลายป่าที่ผิดกฎหมายและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพื่อการเกษตรยังคงเป็นภัยคุกคามต่อการอนุรักษ์ป่าไม้

ความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการอนุรักษ์ป่าไม้ยังสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในโครงการระดับโลก เช่น Bonn Challenge ซึ่งมีเป้าหมายฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมสภาพ 150 ล้านเฮกตาร์ภายในปี 2020 ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมในความพยายามระดับโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ได้รับการสนับสนุนในที่ประชุมว่าด้วยเรื่องภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์

ในบริบทระดับโลก ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 23 ของโลกในแง่ของพื้นที่ป่าไม้ โดยมีพื้นที่ป่าปกคลุม 198,730 ตารางกิโลเมตร ถึงแม้จะเป็นความสำเร็จที่สำคัญ แต่ยังคงมีงานมากมายที่ต้องทำเพื่อให้มั่นใจถึงความยั่งยืนในระยะยาวของป่าไม้ในประเทศไทย ประเทศที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกคือ รัสเซีย บราซิล แคนาดา สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งรวมกันคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของป่าไม้ทั่วโลก

ประเทศที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุด ได้แก่ 

  • รัสเซีย: 5,092.5 ล้านไร่
  • บราซิล: 3,072.5 ล้านไร่
  • แคนาดา: 2,168.1 ล้านไร่
  • สหรัฐอเมริกา: 1,941.25 ล้านไร่
  • จีน: 1,321.25 ล้านไร่

คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

1. จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินจากการขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชน

การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจ ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างในเมืองหลัก และแหล่งท่องเที่ยว อาจส่งผลทำให้ดินเสื่อมโทรม เกิดการชะล้างพังทลายของดิน ฝุ่นควันจากการเผาวัสดุทางการเกษตร ขยะ และน้ำเสีย ขณะที่การใช้ปุ๋ยเคมีและวัตถุอันตรายภาคเกษตรกรรมแนวโน้มลดลง และมีการยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรบางชนิด จะเป็นโอกาสในการฟื้นฟูและรักษาคุณภาพดิน

2. การผลิตและการใช้แร่จะลดลง

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และการขยายตัวของธุรกิจก่อสร้าง จะทำให้มีการใช้แร่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้หินปูนในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมซีเมนต์ ดังนั้น การผลิตแร่เพื่อใช้ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอาจมีความเสี่ยงในการเกิดปัญหาฝุ่นละออง ปัญหาการใช้น้ำ และการปนเปื้อนของมลพิษลงสู่แหล่งน้ำ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์ 

3. การพึ่งพิงพลังงานจากภายนอกประเทศจะเพิ่มขึ้น

เนื่องจากการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเดินทางที่เข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาการจราจรขนส่งและการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ การใช้พลังงานมีโอกาสจะขยายตัวช้าลงจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และจากมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของภาครัฐ รวมถึงความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนที่จะกลับมาเพิ่มขึ้น  

4. ปริมาณขยะพลาสติกจะเพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว บรรจุภัณฑ์จากบริการส่งสินค้าและอาหาร การใช้พลาสติกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด 19 และปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน อีกทั้งยังไม่มีการคัดแยกขยะ ทำให้ขยะพลาสติกจะถูกนำไปทิ้งรวมกันในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่ดำเนินการไม่ถูกต้อง ซึ่งมีโอกาสถูกพัดพาออกสู่สภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งน้ำ และลงสู่ทะเล

5. ความหลากหลายทางชีวภาพบนบกและในทะเลถูกคุกคาม

การเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ ปัญหาไฟป่า การกระทำผิดเกี่ยวกับสัตว์ป่า การจับสัตว์น้ำในน่านน้ำไทยที่เพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวที่เข้าสู่ภาวะปกติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพเสี่ยงต่อการถูกคุกคามทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนการคุกคามจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานจะทำให้ชนิดพันธุ์พื้นเมืองมีจำนวนลดน้อยลง  

6. ความแปรปรวนของสภาพอากาศจะชัดเจนมากขึ้น

ทั้งในด้านอุณหภูมิ ปริมาณฝน ความชื้น และระดับน้ำทะเล ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับปริมาณน้ำฝนและปริมาณน้ำท่า จะกระทบต่อการใช้น้ำในภาคส่วนต่าง ๆ และกระทบต่อกลุ่มที่เสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ เกษตรกร ชุมชนชายฝั่ง ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น

 

 

อ้างอิง : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร