จะปรับค่ามาตรฐาน PM2.5 (24ชม.) เท่ากับ 15 มคก.ต่อ ลบ.ม.จริงหรือ

เมื่อ 29 ม.ค.68 แพทย์ผู้หนึ่งเสนอความคิดให้ไทยเปลี่ยนมาตรฐาน PM2.5 จาก 37.5 เป็น 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยอ้างว่าเป็นข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก เราสองคนในฐานะนักวิชาการที่ได้คลุกคลีกับเรื่องนี้มาสิบกว่าปี ใคร่ขอแสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไป ดังต่อไปนี้
ตัวเลขขององค์การอนามัยโลกนั้นไม่ใช่มาตรฐาน ซึ่งเป็นเรื่องทางกฎหมายที่ต้องใช้บังคับ หากทำไม่ได้ตามนั้นผู้ที่ประกาศกำหนดค่ามาตรฐานสามารถถูกลงโทษได้
ทว่าตัวเลขขององค์การอนามัยโลกนั้นเป็นเพียงแค่เป้าหมายระหว่างกาล(interim)ซึ่งมีอยู่หลายระดับ ที่ในที่สุดจะนำไปสู่เกณฑ์แนะนำ(guideline) แต่ไม่ใช่ภาคบังคับ
ดังตารางเปรียบเทียบค่าเป้าหมายและแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่ต้องบังคับใช้ และส่วนที่เป็นมาตรฐาน PM2.5(เฉลี่ย24ชม.) ของบางประเทศที่ใช้บังคับ
การที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เป้าหมายและเกณฑ์แนะนำนั้นเป็นเพราะองค์การอนามัยโลกเองก็ตระหนักดีว่าความพร้อมในทางเศรษฐกิจ ทางสังคม และทางการบังคับใช้กฎหมายของแต่ละประเทศนั้น ไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน
แม้กระทั่งอเมริกาเอง ซึ่งร่ำรวยกว่าประเทศเรามากนัก ก็ไม่ได้กำหนดมาตรฐานตาม AQG (Air Quality Guideline) ขององค์การอนามัยโลก ตัวเลขเฉลี่ย24ชั่วโมงปัจจุบันของอเมริกาคือ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรซึ่งใกล้เคียงกับของประเทศไทยที่ 37.5 อย่างมาก
การที่อเมริกาไม่กำหนดให้เท่ากับ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็นเพราะว่าอเมริกาเองก็ตระหนักดีว่าการบังคับใช้กฎหมายในระดับนั้นมีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งสิ่งแวดล้อมในมิติอื่นอีกมากมาย และ(ยัง)ไม่สมควรทำ
ประเทศจีน(class2)และอินเดียใช้มาตรฐาน PM2.5(24ชม.) เท่ากับ 75 และ 60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามลำดับซึ่งสูงกว่าของประเทศไทยมาก เหตุผลก็ตามที่กล่าวมา คือ บริบทของเขากับของเรามันต่างกัน
และที่ต้องตระหนักให้ถ่องแท้ด้วยอย่างมากก็คือ สหภาพยุโรปไม่มีแม้กระทั่งมาตรฐาน PM 2.5 เฉลี่ยรายวัน คือไม่มีตัวเลขตัวนี้สำหรับการจัดการคุณภาพอากาศของเขาเลย ดังนั้นการที่เราจะเน้นแค่เพียงปรับตัวเลขค่ามาตรฐานให้ดูดี แต่ทำจริงไม่ได้ ก็คงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปทำเช่นนั้น
ปัจจุบันไทยแม้เราใช้มาตรฐาน PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เราก็ยังมีปัญหามาตลอดในสิบปีที่ผ่าน คือไม่สามารถทำให้คุณภาพอากาศผ่านมาตรฐานได้จริง
ดังนั้น ถ้าเราลดตัวเลขมาตรฐานให้ต่ำลงหรือเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องของคุณภาพอากาศให้มากขึ้นโดยไม่มีการเตรียมการอย่างอื่นเพื่อลดการระบายฝุ่น PM2.5 จากแหล่งกำเนิดอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ก็คงไม่ได้ผลสัมฤทธิ์ และแผนที่ดัชนีคุณภาพอากาศหรือ AQI ของ PM2.5(24ชม.) ก็จะแดงเถือกทั้งแผ่นดิน
แล้วผลกระทบต่อระบบอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยว การค้าระหว่างประเทศ การเมือง ความคาดหวังที่ผิดเพี้ยน ก็จะตามมาอย่างไม่พึงให้เกิดขึ้น
จริงอยู่การเรียกร้องของประชาชนอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง อย่างเช่น ภาครัฐก็ได้เคยปรับค่ามาตรฐานรายวันของ PM2.5 จาก 50 เป็น 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรมาแล้วในปี พ.ศ. 2566
ถึงกระนั้นก็ตามเราสองคนก็ยังอยากขอร้องให้รัฐไทยอย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินควร จนรับที่จะนำไปกำหนดมาตรฐาน PM2.5 รายวันหรือ 24 ชั่วโมงเป็น 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรดังที่มีคนที่หวังดีต่อบ้านเมืองได้เสนอมา
อนึ่ง ถ้ารัฐไทยยังทำงานในลักษณะตั้งรับกับปัญหาแบบที่ผ่านมา ไม่มีการทำงานเชิงรุกเพื่อจัดทำนโยบายบนฐานของวิทยาศาสตร์ และต้องรอการเรียกร้องกดดันจากภาคประชาชนเช่นนี้อยู่ร่ำไป
การจัดการคุณภาพอากาศในบ้านเราก็คงไม่พ้น "แก้ผ้าเอาหน้ารอด” หรือ“ลิงแก้แห” และ“ไฟไหม้ฟาง” ไปอีกนาน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าทุกภาคีที่เกี่ยวข้องอันรวมถึงภาครัฐด้วย ต่างก็ไม่ประสงค์ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป.
บทความโดย
ธงชัย พรรณสวัสดิ์
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา
อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ