‘เครื่องอบผ้า’ ปล่อยคาร์บอนทำลายโลก ‘สหรัฐ’ ชวนคนใช้ ‘ราวตากผ้า’

แม้ทั่วโลกจะตากผ้ากันเป็นเรื่องปรกติ แต่ในสหรัฐกลับไม่ค่อยได้พบเหตุบ่อยนัก ราวตากผ้ามักพบได้ในเขตชานเมือง และครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
KEY
POINTS
- การอบผ้าคิดเป็น 3% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้านของชาวสหรัฐ ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และปล่อยก๊าซ
“การซักผ้า” เป็นงานบ้านที่น่าเบื่อหลายคนไม่อยากจะทำ แต่การซักผ้าก็ยังไม่น่าเหนื่อยใจ เท่าหาที่ตากผ้า เพราะปัจจุบันที่มีปัญหาฝุ่นควันก็ทำให้ผ้าไม่หอมเต็มไปด้วยฝุ่น หรือบางบ้านที่อยู่คอนโดหรือหอพักจำเป็นต้องตากในที่ร่ม ก็อาจทำให้ผ้าเหม็นอับ หลายคนจึงเลือกใช้ “เครื่องอบผ้า” เพื่อตัดปัญหา แม้อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งาน แต่เครื่องอบผ้าก็มาพร้อมกับปัญหาทางสิ่งแวดล้อมแบบที่คาดไม่ถึง
การศึกษาวิจัยใหม่ของมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า การอบผ้าคิดเป็น 3% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้านของชาวสหรัฐ ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 27 ล้านเมตริกตัน
ในแต่ละประเทศ มีการใช้เครื่องอบผ้าแตกต่างกันไป ตามระดับความมั่งคั่งร่ำรวย ความสะดวกสบาย และการออกแบบบ้าน โดยครัวเรือนในสหรัฐมากกว่า 80% มีเครื่องอบผ้าเป็นของตนเอง ซึ่งมากที่สุดในโลก ขณะที่ฝั่งเอเชียและยุโรปที่ต้นทุนด้านพลังงานสูงกว่า และขนาดที่อยู่อาศัยเล็กกว่า รวมถึงให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้ไม่ค่อยใช้เครื่องอบผ้ามากนัก เช่น ครัวเรือนในเกาหลีใต้น้อยกว่า 30% มีเครื่องอบผ้า ส่วนในเยอรมนีมี 43%
จู จู หัวหน้าคณะผู้จัดทำผลการศึกษากล่าวว่า นอกจากสหรัฐแล้ว ไม่ค่อยมีประเทศไหนมีเครื่องอบผ้าอยู่ในบ้าน อีกทั้งเครื่องอบผ้าใช้พลังงานมาก แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้การตากผ้าแทน จะช่วยประหยัดพลังงานและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มาก
ตามการวิเคราะห์ของการศึกษาวิจัย พบว่า การใช้งานเครื่องอบผ้าไฟฟ้าทั่วไปที่ไม่มีฉลากประหยัดพลังงาน (Energy Star) จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 3,800 กิโลกรัมตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำมันเบนซินเกือบ 400 แกลลอน ในทางตรงกันข้าม การตากผ้าจะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เลยและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ นอกจากค่าราวตากผ้าเท่านั้น
การศึกษานี้ยังเน้นย้ำถึงผลกระทบของเครื่องอบผ้าที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ในพื้นที่ที่ผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นหลัก เครื่องอบผ้ามีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำ
ขณะที่การเปลี่ยนจากเครื่องอบผ้าที่ใช้แก๊สเป็นเครื่องไฟฟ้าสามารถลดการปล่อยมลพิษได้มากกว่า 90% หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 220% ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของพลังงาน หากทั้งสหรัฐเปลี่ยนมาใช้เครื่องอบผ้าไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นจะช่วยลดมลพิษได้ 17% ทั่วประเทศ
เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว เครื่องอบผ้ามีค่าใช้จ่ายในสหรัฐมากกว่า 7,000 ดอลลาร์ต่อปี ตลอดอายุการใช้งานของเครื่องอบผ้า แต่ถ้าใช้ราวตากผ้า 100% จะช่วยประหยัดเงินให้กับครัวเรือนได้ถึง 2,100 ดอลลาร์
นอกจากนี้ เครื่องอบผ้ายังทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้อีกด้วย ตามข้อมูลจากสำนักงานดับเพลิงของสหรัฐระบุว่า ในแต่ละปีมีไฟไหม้เครื่องอบผ้า 2,900 ครั้ง ทำให้สูญเสียทรัพย์สินมูลค่า 35 ล้านดอลลาร์ โดยระบุว่า 34% ของไฟไหม้นั้นเกิดจากการไม่ทำความสะอาดขุยผ้าจากเครื่องอบผ้า
แต่ถ้ายังไม่สะดวกตากผ้าด้วยราว การศึกษาพบว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยมลพิษได้อย่างมาก เช่น เปลี่ยนมาใช้เครื่องอบผ้าในช่วงกลางคืนตอนที่ใช้ไฟฟ้าน้อยลง จะช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ 8% ขณะที่การใช้ความเร็วรอบปั่นหมาดที่สูงกว่า ก่อนอบผ้าจะช่วยลดความชื้นในเสื้อผ้า ทำให้ใช้พลังงานน้อยลงถึง 17%
อีกทั้งการแบ่งผ้ามาตากบนราวสักครึ่งหนึ่งจากผ้าที่ต้องอบทั้งหมด จะช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ถึง 56% หรือคิดเป็นคาร์บอนประมาณ 15 ล้านตันต่อปี สามารถเปลี่ยนต้นทุนคาร์บอนที่เกิดแก่สังคมที่ 51 ดอลลาร์ต่อตัน เป็นผลประโยชน์ที่อาจได้รับมูลค่า 765 ล้านดอลลาร์ต่อปี
แม้ทั่วโลกจะตากผ้ากันเป็นเรื่องปรกติ ชาวอังกฤษและฝรั่งเศสประมาณ 68% ตากผ้าเป็นประจำ และในญี่ปุ่น ผู้คนประมาณ 67% ไม่มีเครื่องอบผ้าหรือแทบไม่ได้ใช้เลย แต่ในสหรัฐกลับไม่ค่อยได้พบเหตุบ่อยนัก ราวตากผ้ามักพบได้ในเขตชานเมือง และครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมที่ใช้เครื่องอบผ้ามาตั้งแต่ 1950 จนเคยชินกับความสะดวกสบาย เพราะการตากผ้าใช้เวลานานกว่าการใช้เครื่องอบผ้า อีกทั้งบางคนไม่ชอบความรู้สึกเมื่อตากผ้า เนื่องจากการตากผ้าได้กลายเป็นตัวแทนของคนยากจนไปแล้ว
หลายพื้นที่ในสหรัฐจึงออกกฎ “ห้ามตากผ้า” เข้าในกฎของสมาคมเจ้าของบ้าน (HOA) กฎหมายการแบ่งเขต และข้อห้ามของผู้ให้เช่าบ้านเป็นวิธีการหลักที่ใช้เพื่อห้ามไม่ให้ผู้คนใช้ราวตากผ้า เพราะมองว่าราวตากผ้าทำให้มูลค่าทรัพย์สินลดลง ทำให้บ้านดูไม่สวยงาม และหลายคนไม่อยากนั่งเล่นอยู่หลังบ้านแล้ว ต้องเห็นภาพกางเกงชั้นในของเพื่อนบ้านปลิวไสวไปตามลม ซึ่งผู้ที่ละเมิดกฎนี้จะต้องจ่ายค่าปรับ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นถูกให้ย้ายออก
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับกฎนี้ เพราะผู้คนต่างก็รู้ดีว่าการตากผ้าดีก็โลก ดีต่อเงินในกระเป๋า ดังนั้นรัฐฟลอริดาจึงได้ออก “กฎหมายสิทธิในการตากผ้า” (Right to Dry) เพื่อยกเลิกกฎอื่น ๆ ที่ห้ามไม่ให้ประชาชนตากผ้า ตั้งแต่ช่วง 1970 พร้อมจัดให้มีสถานที่ตากผ้ากลางแจ้ง และเปิดตัวแคมเปญให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการตากผ้า
หลังจากนั้น รัฐอื่น ๆ ก็ทยอยออกกฎหมายนี้มา ไม่ว่าจะเป็น แอริโซนา แคลิฟอร์เนีย โคโลราโด ฮาวาย อิลลินอยส์ อินเดียนา ลุยเซียนา เมน แมสซาชูเซตส์ เนวาดา นิวเม็กซิโก ออริกอน เท็กซัส ยูทาห์ เวอร์มอนต์ เวอร์จิเนีย และวิสคอนซิน ส่วนรัฐที่เหลือก็เร่งผลักดันกฎหมายนี้อยู่
หลายครั้งที่มนุษย์เลือกจะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ หาทางแก้ระบบเทคโนโลยี แต่กลับลืมไปว่าบางที่แค่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่กว่า อย่างเช่นการตากผ้าแทนการใช้เครื่องอบผ้า ที่จะช่วยทั้งประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อโลก แม้อาจจะไม่ได้สะดวกสบายเท่าเดิม
ที่มา: Best Drying Rack, Earth, Study Finds, ZME Science