‘น้ำฝน’ ดื่มไม่ได้ อันตราย! มี ‘ไมโครพลาสติก - สารเคมีตลอดกาล’ ปนเปื้อน

‘น้ำฝน’ ดื่มไม่ได้ อันตราย! มี ‘ไมโครพลาสติก - สารเคมีตลอดกาล’ ปนเปื้อน

ในปัจจุบัน “น้ำฝน” เต็มไปด้วย “ไมโครพลาสติก” และ “สารเคมีตลอดกาล” ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และแทบจะกำจัดไม่ได้ด้วย

KEY

POINTS

  • ทั้งไมโครพลาสติก และสารเคมีตลอดกาล ทำให้น้ำฝนทั่วโลกสก

ช่วงทศวรรษ 1970 “ฝนกรด” ถือเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งของโลก  ในตอนนั้นอากาศเต็มไปด้วยมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน และควันดำรถยนต์จนทำให้น้ำฝนเต็มไปด้วยพิษ ส่งผลให้ปลาตาย ทำลายป่า กัดเซาะรูปปั้น และอาคาร เพียงไม่กี่ทศวรรษต่อมา ฝนกรดก็หายไปเกือบหมด เนื่องจากออกกฎหมายจำกัดปริมาณมลพิษที่ก่อให้เกิดกรด เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ รวมถึงผู้ผลิตยานยนต์ต้องใส่ตัวเร่งปฏิกิริยาในรถยนต์รุ่นใหม่ 

แม้ว่าปริมาณน้ำฝนจะมีความเป็นกรดน้อยลง แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในปัจจุบัน “น้ำฝน” เต็มไปด้วยมลพิษอื่นๆ มากมาย รวมถึง “ไมโครพลาสติก” และ “สารเคมีตลอดกาล” ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และแทบจะกำจัดไม่ได้ด้วย

ไมโครพลาสติกในน้ำฝน

งานวิจัยในปี 2020 พบว่า มีไมโครพลาสติกปนเปื้อนอยู่ในน้ำฝนที่ตกลงมาบริเวณอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ทางภาคตะวันตกของสหรัฐ โดย เศษพลาสติกส่วนใหญ่เป็นไมโครไฟเบอร์ เช่น ซึ่งหลุดออกมาจากเสื้อสเวตเตอร์โพลีเอสเตอร์ หรือพรมบนพื้นรถยนต์

นักวิจัยประเมินว่า ในแต่ละปีพลาสติกจากชั้นบรรยากาศมากกว่า 1,000 เมตริกตันตกลงไปในอุทยานแห่งชาติทางภาคตะวันตกของสหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับขวดน้ำพลาสติกประมาณ 120-300 ล้านขวด

เจนิส บราห์นี นักชีวธรณีเคมีแห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์สเตท ผู้นำการศึกษา กล่าวว่า ทางหลวงเป็นแหล่งไมโครพลาสติกที่ใหญ่ที่สุด เพราะมักมีขยะพลาสติกเกลื่อนกลาดตามท้องถนน และเมื่อเวลาผ่านไป พวกมันจะย่อยสลาย และถูกพัดขึ้นไปในอากาศ เนื่องจากอนุภาคเหล่านี้มักจะมีน้ำหนักเบากว่าดิน ดังนั้น เมื่อพวกมันลอยอยู่ในอากาศ พวกมันสามารถเคลื่อนที่ไปในชั้นบรรยากาศได้อย่างง่ายดาย และถูกฝนเคลือบเอาไว้

นอกจากนี้ มหาสมุทรก็เป็นอีกสถานที่ ที่มีขยะพลาสติกจำนวนมาก ทุกปีมีพลาสติกหลายล้านตันไหลลงสู่มหาสมุทรทุกปี ซึ่งส่วนใหญ่สลายตัวเป็นไมโครพลาสติก เมื่อคลื่นซัดเข้าชายหาดหรือฟองอากาศแตกตัวบนผิวน้ำทะเล ก็จะส่งอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กลอยขึ้นไปในอากาศ ฝนที่ปนเปื้อนพลาสติกเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมที่แก้ไขได้ยากกว่าปัญหาก่อนหน้านี้  

“มันแย่กว่าฝนกรดมาก เพราะเราหยุดฝนกรดได้ด้วยการหยุดปล่อยสารที่ทำให้เกิดฝนกรด แต่เราไม่สามารถหยุดวงจรไมโครพลาสติกได้อีกต่อไป มันยังคงอยู่ในสิ่งแวดล้อม และไม่มีวันหายไป” บราห์นี กล่าว

นักวิจัยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าไมโครพลาสติกจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของมนุษย์อย่างไร ในตอนนี้รู้เพียงแต่ว่า ไมโครพลาสติกสามารถรบกวนพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ได้ และพบว่าไมโครพลาสติกเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นพาหะของไวรัส ทำให้ไวรัสมีความแข็งแกร่งขึ้น และทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลแบบลูกโซ่ อาจจะรุนแรงจนไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์โดยรวมได้

สารเคมีตลอดกาลในน้ำฝน

น้ำฝนไม่ได้มีแค่ไมโครพลาสติก งานวิจัยหลายชิ้นก็พบว่ามี “สารเคมีตลอดกาล” ปะปนอยู่ในฝนที่ตกลงทั่วทั้งโลก ตั้งแต่ในเมืองที่ผู้คนพลุกพล่านไปจนถึงทวีปที่ไม่มีคนอยู่อาศัยอย่างแอนตาร์กติกา โดยมีปริมาณสูงกว่าระดับมาตรฐานน้ำดื่มเสียอีก

สารเคมีตลอดกาล” หรือ PFAS เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งที่มีความทนทานสูง และสลายตัวช้ามาก ถูกใช้เป็นส่วนประกอบข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันหลากหลายประเภท เพื่อทำให้บรรจุภัณฑ์ สี และสารเคลือบมีความทนทานต่อน้ำหรือความร้อนเป็นพิเศษ เช่น เครื่องครัว โฟมดับเพลิง และเสื้อผ้า บรรจุภัณฑ์อาหาร เครื่องครัว เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ซึ่งมีมากกว่า 4,000 ชนิด

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “สารเคมีตลอดกาล” กลายเป็นที่รู้จักในฐานะตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม เนื่องจากพวกมันใช้เวลาย่อยสลายนาน หากสะสมในร่างกายมนุษย์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้ตับเสียหาย เกิดโรคต่อมไทรอยด์ ปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็ง และระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ในปัจจุบัน รัฐบาลหลายประเทศพยายามจะควบคุมปริมาณสาร PFAS มากขึ้น และยกเลิกใช้สารบางชนิดไปแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าสารเคมีตลอดกาล พวกมันยังคงลอยปะปนอยู่ในอากาศ เห็นได้จาก นักวิจัยในสหรัฐยังพบสาร PFOS และ PFOA ปะปนอยู่ในน้ำ แม้ว่าทั้ง 2 ชนิดนี้จะเป็นสาร PFAS ที่ยกเลิกใช้ไปแล้วตาม ยิ่งตอกย้ำว่าเราไม่มีหนทางจะกำจัดสารเหล่านี้ออกไปจากสิ่งแวดล้อมได้หมด

นาตาเลีย โซอาเรส กิวเนเต นักเคมีจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาอินเตอร์แนชั่นแนล กล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่าเราจะกำจัดสารเคมีเหล่านั้นได้หมด วิธีเดียวที่จะทำได้คือ ต้องย้อนเวลากลับไปเท่านั้น”

โดยรวมแล้ว ทั้งไมโครพลาสติก และสารเคมีตลอดกาล ทำให้น้ำฝนทั่วโลกสกปรกเกินกว่าจะดื่มได้ และเมื่อน้ำฝนไม่สามารถดื่มแล้ว อาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เช่น แอฟริกาใต้สะฮารา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขาดแคลนน้ำสำหรับการบริโภคได้

เอียน คูซินส์ ​​ศาสตราจารย์ด้านเคมีสารปนเปื้อนที่มหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม กล่าวว่า เนื่องจาก สาร PFAS ไม่สลายตัวในสิ่งแวดล้อม จึงทำได้แค่รอให้สารเหล่านี้เจือจางในมหาสมุทรลึกอย่างช้าๆ แต่อาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่ระดับความเข้มข้นของสารเหล่านี้ในน้ำฝนจะลดต่ำลงกว่าระดับที่กำหนดไว้ 

ในเมื่อยังไม่มีวิธีลดพลาสติกที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ทำได้คือ ลดการใช้พลาสติกลง และพัฒนาระบบบำบัดน้ำให้สามารถกำจัดไมโครพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ  รวมถึงจำเป็นต้องมีกฎหมายระดับโลกเพื่อควบคุมการใช้พลาสติก เพราะถึงเราจะมองไม่เห็นไมโครพลาสติก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้รับสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย


ที่มา: VoxIFL SciencePhys

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์