โลกกระหาย ‘พลังงาน’ เมื่อความต้องการพุ่งทะยานเกินค่าเฉลี่ย

ความต้องการพลังงานโลกพุ่งทะยานมากขึ้นในปี 2567 : IEA เผยการเติบโตเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เผยรายงาน "Global Energy Review" ที่ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตของความต้องการพลังงานทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี พ.ศ. 2567 โดยมีการเติบโตที่สูงเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า ความต้องการพลังงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 2.2% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการเพิ่มขึ้นของความต้องการพลังงานรายปีที่ 1.3% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอย่างมาก โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้มาจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ซึ่งมีการขยายตัวทางอุตสาหกรรมและการบริโภคอย่างก้าวกระโดด คิดเป็นมากกว่า 80% ของการเพิ่มขึ้นของความต้องการพลังงานทั้งหมด
นอกจากนี้ การกลับมาเติบโตของเศรษฐกิจขั้นสูงหลังจากการชะลอตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ภาคพลังงานไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยการบริโภคไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 4.3% ในปี พ.ศ. 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคขนส่ง
แหล่งพลังงานที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (low-emissions sources) มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยหลายประเทศกำลังลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้มาจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ซึ่งมีการขยายตัวทางอุตสาหกรรมและการบริโภคอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ การกลับมาเติบโตของเศรษฐกิจขั้นสูงหลังจากการชะลอตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน ภาคพลังงานไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขึ้นของการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคขนส่ง นอกจากนี้ การพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของความต้องการพลังงานนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนและการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
การวางแผนนโยบายพลังงาน
ในอนาคต การวางแผนนโยบายพลังงานจะต้องให้ความสำคัญกับการกระจายแหล่งพลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีพลังงานเพียงพอสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต ในขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด
นบริบทของประเทศไทย การวางแผนนโยบายพลังงานอยู่ภายใต้ "แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan)" ซึ่งประกอบด้วยแผนย่อยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทุกด้านของภาคพลังงาน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ความมั่นคงทางพลังงาน
การสร้างความมั่นใจว่าประเทศจะมีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการในระยะยาว โดยการกระจายแหล่งพลังงานเพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานใดแหล่งพลังงานหนึ่ง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้มีความมั่นคงและเชื่อถือได้
2.การพัฒนาพลังงานทดแทน
การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานชีวมวล โดยการกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนในสัดส่วนที่เหมาะสม และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน
3.การอนุรักษ์พลังงาน
การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน โดยการกำหนดมาตรฐานการประหยัดพลังงานสำหรับอุปกรณ์และอาคาร และการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พลังงาน
4.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน โดยการลดผลกระทบจากการผลิตและใช้พลังงานต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
5.การกำหนดราคาพลังงาน
การกำหนดราคาพลังงานที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยการสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงพลังงานสำหรับทุกภาคส่วน และการส่งเสริมการแข่งขันในตลาดพลังงาน
6.การวิจัยและพัฒนา
การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ โดยการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงาน และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา
แผนเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน