กรมอุทยานฯ แจงรายได้ปี '67 แตะ 2,199 ล้านบาท ยังไม่พอรองรับภารกิจกว่า 156 แห่ง

รายได้กรมอุทยานฯ ปี 2567 ทำสถิติสูงสุด รวม 2,199 ล้านบาท (สูงสุดในรอบหลายปี) ภารกิจดูแลอุทยานแห่งชาติ 156 แห่ง วนอุทยาน 90 แห่ง หน่วยพิทักษ์ป่าอีกจำนวนมาก รายได้ที่มียังไม่ครอบคลุมความต้องการในระยะยาว
KEY
POINTS
- นักท่องเที่ยวช่วง 7 เดือนแรกปีงบ 2568 (ต.ค. 67 – เม.ย. 68) รวม 13.2 ล้านคน แบ่งเป็น คนไทย 8.9 ล้านคน
วันที่ 28 เมษายน 2568 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมคณะผู้บริหารกรมฯ ร่วมแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้ของอุทยานแห่งชาติ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชน เกี่ยวกับระบบการจัดเก็บและบริหารเงินรายได้ ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กของกรมฯ
นายอรรถพลระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา กรมอุทยานฯ ต้องเผชิญกับกระแสข้อสงสัยจากสื่อมวลชนและสังคมออนไลน์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และที่สำคัญคือความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของหน่วยงานในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และพื้นที่ธรรมชาติ
การแถลงข่าวครั้งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งสื่อสารความตั้งใจของกรมฯ และเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ตั้งแต่ฝ่ายบริหารจนถึงเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ให้ประชาชนและสื่อมวลชนรับทราบถึงความโปร่งใส และความทุ่มเทในการทำงานเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มต่อเนื่อง
แม้จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีอาจลดลงเล็กน้อยจากปัจจัยฤดูกาล แต่รายได้รวมจากการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มจะใกล้เคียงหรืออาจสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากอุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งยังคงเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ช่วง 1 ตุลาคม 2567 - 28 เมษายน 2568 (7 เดือน) มีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13.2 ล้านคน แบ่งเป็นคนไทยกว่า 8.9 ล้านคนเป็นชาวต่างชาติกว่า 4.4 ล้านคน ขณะที่ในปีงบประมาณ 2567 (1 ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567) ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 18.63 ล้านคน โดยในจำนวนนั้นเป็นชาวต่างชาติถึง 5.9 ล้านคน คนไทย 12.7 ล้านคน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยืนยันว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวจะดำเนินควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะพื้นที่ทางทะเล เช่น แนวปะการังและระบบนิเวศทางทะเลอื่น ๆ ที่เปราะบางต่อผลกระทบจากการท่องเที่ยว
นายอรรถพล เน้นย้ำว่า มาตรการควบคุมการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง พร้อมเรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ไกด์นำเที่ยว รวมถึงประชาชนทั่วไป ในการมีส่วนร่วมดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่อย่างยั่งยืน เพื่อส่งต่อคุณค่าให้กับคนรุ่นหลัง
ปี 2567 รายได้อุทยานฯ ทะลุ 2,199 ล้านบาท
นายอรรถพล กล่าวว่า แม้ว่าช่วงปลายปีอาจมีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเล็กน้อย แต่รายได้รวมในปีนี้ยังคาดว่าจะใกล้เคียง หรืออาจสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากอุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
รายได้จากการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติในปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่กว่า 2,199 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี ขณะที่ช่วง 1 ตุลาคม 2567 - 28 เมษายน 2568 (7 เดือน) สามารถจัดเก็บรายได้จากอุทยานแห่งชาติได้จำนวน 1.5 ล้านบาท
โดยรายได้ส่วนหนึ่งได้นำไปใช้ในการพัฒนาสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในพื้นที่ และสนับสนุนภารกิจด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืน
โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำคิดเป็นร้อยละ 68.93 และรายจ่ายตามภารกิจคิดเป็นร้อยละ 31.07 ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการอนุมัติการใช้จ่ายไปแล้วคิดเป็นร้อยละ 99.19 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด
"การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคการท่องเที่ยว ไม่ได้หมายถึงการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเล เช่น แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ที่จำเป็นต้องได้รับการอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ" นายอรรถพล กล่าว
กรมอุทยานฯ ย้ำว่าการควบคุมการท่องเที่ยวในพื้นที่อนุรักษ์ต้องดำเนินการอย่างรัดกุม โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่รวมถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยว ไกด์นำเที่ยว และประชาชนในท้องถิ่น เพื่อร่วมกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้อยู่คู่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน
รายได้ยัง “ไม่เพียงพอ” ต่อความต้องการ
นายอรรถพล กล่าวด้วยว่า หากพิจารณาจากภารกิจที่กรมต้องดูแลอย่างทั่วถึง ทั้งอุทยานแห่งชาติจำนวน 156 แห่ง วนอุทยานประมาณ 90 แห่ง และหน่วยพิทักษ์ป่าอีกจำนวนมาก รายได้ที่ได้รับยังถือว่า “ไม่เพียงพอ” ต่อความต้องการในภารกิจทั้งหมดที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
- รายจ่ายประจำ 1,400 ล้านบาท
จากรายได้ทั้งหมด กรมฯได้นำไปใช้ในส่วนของ รายจ่ายประจำประมาณ 1,400 ล้านบาท ได้แก่
- ค่าจ้างเหมาบริการเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่
- สวัสดิการเจ้าหน้าที่ชุด Smart Patrol
- ค่าตอบแทนสำหรับชุดปฏิบัติการดูแลช้างป่า
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า
- โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่มีส่วนร่วมในภารกิจของภาครัฐในพื้นที่อนุรักษ์
- พัฒนาพื้นที่และศักยภาพ
ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 600–700 ล้านบาท ถูกนำไปใช้ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เช่น
- การจัดซื้อเรือสำหรับการลาดตระเวน
- อุปกรณ์และเครื่องมือในการปฏิบัติงาน
- สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการสร้างและซ่อมแซมบ้านพักเจ้าหน้าที่
- การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในอุทยานแห่งชาติ โดยเฉพาะพื้นที่ทางทะเล
ในปีที่ผ่านมา กรมสามารถจัดซื้อเรือได้ประมาณ 20 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรือขนาดเล็กไม่เกิน 100 แรงม้า ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งานจริงในภารกิจลาดตระเวนและดูแลพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะในอุทยานทางทะเล เช่น หมู่เกาะสิมิลัน แม่ปิง และศรีน่าน ดังนั้นในปีนี้ กรมมีแผนที่จะจัดหาเรือเพิ่มเติมอีกประมาณ 40 ลำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาพื้นที่อนุรักษ์ได้อย่างครอบคลุมและยั่งยืน
เกณฑ์การใช้จ่าย 4 ประเภท
นายชิดชนก สุขมงคล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวเสริมว่า หลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินรายได้อุทยาน ได้แบ่งการใช้เงินออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
- ประเภท ก: จำนวนร้อยละ 5 ของเงินรายได้ที่อุทยานจัดเก็บ จะคืนให้กับเทศบาล หรือ อบต. ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ โดยปีนี้ได้อนุมัติประมาณ 102 ล้านบาท
- ประเภท ข: จำนวนร้อยละ 20 เป็นเงินที่จะจัดสรรคืนให้กับอุทยานแห่งชาติ เพื่อบำรุงรักษาอุทยาน โดยไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปีต่อแห่ง ปีนี้อนุมัติไป 316 ล้านบาท
- ประเภท ค: จำนวนร้อยละ 60 เป็นเงินงบประมาณบำรุงรักษาอุทยาน เป็นรายจ่ายประจำและรายจ่ายตามภารกิจ ปีนี้เราอนุมัติไปประมาณ 1,200 ล้านบาท
- ประเภท ง: จำนวนร้อยละ 15 เป็นงบสำรองใช้จ่ายกรณีจำเป็นเร่งด่วนฉุกเฉิน ปีนี้เราอนุมัติไว้ที่ 540 ล้านบาท
สำหรับประเภท ข และ ง หากอุทยานแห่งชาติที่มีความประสงค์จะใช้เงิน จะต้องยื่นโครงการผ่านคณะกรรมการพิจารณาเงินได้ที่ท่านอธิบดีเป็นประธาน
โครงการเด่นๆ ที่ได้รับการอนุมัติในปีนี้ ได้แก่
- โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการอุทยานและบริการนักท่องเที่ยว เป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานเหมาค่าใช้สอยวัสดุ ซึ่งเป็นงบประมาณทดแทนงบประมาณปกติที่ไม่ได้รับการจัดสรรในปีนี้ จำนวน 533 ล้านบาท
- โครงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและป้องกันรักษาป่า เป็นค่าใช้จ่ายในงานป้องกันอนุรักษ์ในพื้นที่อุทยาน จำนวน 320 ล้านบาท
- โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ตามมาตรฐานระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพหรือ Smart Patrol ที่ใช้ในปัจจุบัน จำนวน 164 ล้านบาท
- โครงการนักเรียน นักศึกษาช่วยปฏิบัติราชการในอุทยานแห่งชาติ จำนวน 18.8 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีโครงการจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อผลักดันช้างป่าและแก้ไขปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 41 ล้านบาท รวมถึงการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น รถยนต์ เรือ วิทยุ อุปกรณ์กู้ภัย เต็นท์ และอุปกรณ์บริการในที่พักนักท่องเที่ยว จำนวน 577 ล้านบาท
การใช้เงินโดยรวม
- เงินสมทบตามงบประมาณปกติที่ไม่ได้รับการจัดสรร ร้อยละ 39.26
- การจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อใช้ในภารกิจของอุทยานแห่งชาติ ร้อยละ 26
- เงินที่คืนให้กับอุทยานแห่งชาติในการบำรุงรักษาอุทยาน ร้อยละ 14
- ค่าใช้จ่ายในการลาดตระเวนและสวัสดิการเจ้าหน้าที่ ร้อยละ 7.6
- เงินที่คืนให้กับเทศบาล และ อบต. ร้อยละ 5
รวมค่าประกันไว้ในค่าตั๋วอุทยาน
ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนอุทยานแห่งชาติสามารถเลือกซื้อประกันชีวิตได้โดยสมัครใจ แต่ขณะนี้กรมอุทยานฯ กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงประกาศและระเบียบ เพื่อให้สามารถรวมค่าประกันชีวิตนักท่องเที่ยวไว้ในค่าบริการหรือค่าตั๋วเข้าชมอุทยานได้เลย ซึ่งขั้นตอนนี้อยู่ระหว่างรอเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ
สำหรับรายได้ที่จัดเก็บจากนักท่องเที่ยว จะถูกนำกลับไปพัฒนาระบบท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในอุทยาน รวมถึงโครงการพัฒนาอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพีพี, ดอยอินทนนท์, เขาใหญ่, สามร้อยยอด และเอราวัณ โดยอยู่ในขั้นตอนการออกแบบปรับปรุงระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อยกระดับมาตรฐานตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม