’หุ้นกลุ่มชิป’ กอดคอดิ่งหนัก มูลค่าหายวับ 5 แสนล้านดอลลาร์ ผวา 'ทรัมป์ 2.0'

’หุ้นกลุ่มชิป’ กอดคอดิ่งหนัก มูลค่าหายวับ 5 แสนล้านดอลลาร์ ผวา 'ทรัมป์ 2.0'

กลุ่ม ‘หุ้นชิป’ กอดคอร่วง มูลค่าหายวับ 5 แสนล้านดอลลาร์ ผวานโยบายการค้า ‘ทรัมป์ 2.0’ คุมการส่งออกชิปขั้นสูง ‘จีน’

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดหุ้นสหรัฐ ตั้งแต่ TSMC  ไปจนถึง Tokyo Electron และ Nvidia ร่วงลงอย่างหนักในวันพุธ(17ก.ค.67) โดยมูลค่าหายไปกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งหนักสุดในรอบ 4 ปี หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐกำลังพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงไปยังจีน

"โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน กล่าวหาว่าไต้หวัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ "เข้าครอบครองธุรกิจชิปของเราประมาณ 100%" พร้อมเรียกร้องให้ไต้หวันจ่ายเงินให้สหรัฐสำหรับการป้องกันประเทศ

สถานการณ์นี้ย้ำจุดยืนของสหรัฐในความต้องการปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมองว่ามีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในการแข่งขันกับจีนนั้น ได้สร้างความกังวลให้นักลงทุนในหุ้นชิปมากขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้บลูมเบิร์ก รายงานว่า สหรัฐได้แจ้งพันธมิตรว่ากำลังพิจารณาใช้มาตรการควบคุมการค้าที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่มีอยู่ หากบริษัทต่างๆ ยังคงให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง

'หุ้นชิป'ใหญ่ทั่วโลกร่วงแรง

แม้ว่าหุ้นชิปหลายตัวมีการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นยังคงร่วงลงหลังจากการกล่าวของทรัมป์ นำโดย ASML Holding ผู้ผลิตอุปกรณ์ทำชิปของเนเธอร์แลนด์ที่จดทะเบียนในสหรัฐร่วงลง 13%

ด้านบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ปิดตลาดลดลง 8% 

ขณะเดียวกัน Nvidia บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ลดลงเกือบ 7% มูลค่าตลาดหายไปมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ไปจนถึง AMD และ Arm ลดลงประมาณ 10% Micron ลดลง 6% และ Broadcom ร่วงลง 8%

อย่างไรก็ดี บริษัทที่มีฐานการผลิตชิปในสหรัฐกลับพุ่งขึ้น โดย GlobalFoundries พุ่งขึ้นเกือบ 7% และ Intel เพิ่มขึ้น 0.35% นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า Intel อาจได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากกำลังสร้างโรงงานหลายแห่งในสหรัฐ

มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นจะส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทผลิตชิปของสหรัฐ ไปยังจีน โดยรายได้ของ Nvidia จากจีนอยู่ที่ประมาณ 18% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 28 เมษายน ซึ่งลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีสัดส่วนถึง 66%

บ็อบ โอดอนเนลล์ หัวหน้านักวิเคราะห์ที่ TECHnalysis Research กล่าว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดน่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งของสหรัฐจะออกมาอย่างไร เนื่องจากความเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงไปยังจีนเกิดขึ้นมาสักพักแล้ว 

ตลาดมองว่ามีโอกาสสูงที่ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน จากจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อจีนทำให้บางคนคิดว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศจะทวีความรุนแรงขึ้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์