ต่างชาติมอง 'ตลาดบอนด์ไทย' หมดเสน่ห์ 'ลดดอกเบี้ยช้า-การเมืองยิ่งซ้ำเติม'
นักวิเคราะห์ต่างชาติชี้ตลาดบอนด์ไทยอาจไม่ได้ไปต่อ หลังเพิ่งฟื้นตัวติดกลุ่มท็อปในภูมิภาค เหตุแบงก์ชาติยังตรึงดอกเบี้ยสูง บวกความเสี่ยงทางการเมืองรอบล่าสุด ฉุดไทยน่าสนใจน้อยกว่าเพื่อนบ้าน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มพิจารณาหนีออกจากตลาดตราสารหนี้ของไทย เนื่องจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงตรึงดอกเบี้ยในระดับสูงสวนทางแนวโน้มภูมิภาค บวกกับปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองล่าสุด อาจทำให้ตลาดตราสารหนี้ของไทยน่าดึงดูดน้อยลง
เรื่องนี้อาจเป็นจุดพลิกผันต่อความรู้สึกของนักลงทุน หลังจากที่ตลาดตราสารหนี้ไทยเพิ่งจะฟื้นตัวได้โดยมีทุนไหลเข้าถึงราว 1,700 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสนี้ หรือสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา และทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีผลงานดีที่สุดในภูมิภาค
บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในปีนี้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเกาหลีใต้ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งจะทำให้ตลาดตราสารหนี้ของประเทศเหล่านี้น่าดึงดูดกว่าประเทศไทย ที่คาดว่าอาจจะเริ่มลดดอกเบี้ยในปีหน้า
"ในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้ ตลาดตราสารหนี้ไทยอาจจะไม่สามารถทำผลงานได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เอเชีย เนื่องจากเป็นที่คาดว่าไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้ากว่าที่อื่น และคาดว่าจะลดเพียงแค่ 0.5% เท่านั้นในปี 2568" เจนนิเฟอร์ กุสุมา นักกลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยเอเชียจากธนาคาร ANZ กล่าว
"ความเชื่อมั่นของต่างชาติน่าจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเมื่อภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่ลาวยาวขึ้นจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และทิศทางของนโยบาย
ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนยังมองเป็นโอกาสในการขายทำกำไร หลังจากที่ดัชนีตลาดตราสารหนี้ไทยโดยบลูมเบิร์กบ่งชี้อัตราผลตอบแทนสูงถึง 6.8% ในไตรมาสนี้ หรือสูงที่สุดในภูมิภาคเป็นรองเพียงแค่มาเลเซียเท่านั้น
ทั้งนี้ จากรายงานข้อมูลของธนาคารกรุงไทย (KTB) และ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2567 ถึงปัจจุบัน (QTD) มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้ไทยแล้ว 1,926.50 ล้านดอลลาร์ (YTD +656.4 ล้านดอลลาร์) หรือสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของภูมิภาครองจากจีน ฟิลิปปินส์ และอินเดีย
บลูมเบิร์ก ระบุว่า กองทุนทั่วโลกแห่เข้าซื้อตราสารหนี้ไทยในไตรมาสนี้ หลังจากที่มีเงินไหลออกไปถึง 4 ไตรมาสจากทั้งหมด 5 ไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนก.ย.นี้ ยังกระตุ้นให้กองทุนทั่วโลกแห่ซื้อพันธบัตรระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรในสกุลเงินท้องถิ่น ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแล้วถึงราว 5% ในไตรมาสนี้ โดยประมาณ 55% ของเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดในไตรมาสนี้ เป็นการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น
ด้าน นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจ และตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าพันธบัตรไทยเป็นเพียงการเข้ามาชั่วคราว และคาดว่าการประชุมประจำปีของเฟดที่แจ็กสัน โฮลในช่วงปลายเดือนนี้ น่าจะมีสัญญาณที่ทำให้ตลาดลดความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐลง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์