ราคาทองทุบสถิติใหม่วันที่สอง ทองฟิวเจอร์บวกเพิ่ม 20 ดอลลาร์ แตะ 2,754.30

ราคาทองทุบสถิติใหม่วันที่สอง ทองฟิวเจอร์บวกเพิ่ม 20 ดอลลาร์ แตะ 2,754.30

ราคาทองคำทุบสถิติใหม่วันที่สองติดต่อกัน ราคาสปอตแตะ 2,744.08 ดอลลาร์ ด้านสัญญาทองฟิวเจอร์บวกเพิ่ม 20.90 ดอลลาร์ ไปปิดที่ 2,754.30 ดอลลาร์/ออนซ์ จกความไม่แน่นอนในศึกเลือกตั้ง-ตะวันออกกลาง

ราคาทองสปอต (Spot gold) วันอังคารที่ 22 ต.ค. พุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ All-time high ติดต่อกันเป็นวันที่สอง ที่ระดับ 2,744.08 ดอลลาร์/ออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลงมาเล็กน้อยบวกไป 0.7% อยู่ที่ 2,739.81 ดอลลาร์/ออนซ์ 

ทางด้านราคาทองฟิวเจอร์สหรัฐ พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตลอดกาลเช่นกันเมื่อคืนนี้ โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ตลาดนิวยอร์ก งวดส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 20.90 ดอลลาร์ หรือ 0.76% ปิดที่ 2,759.80 ดอลลาร์/ออนซ์

รอยเตอร์สระบุว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเข้าหาท่ามกลางช่วงสถานการณ์ความไม่แน่นอนทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐและความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และเมื่อรวมกับความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จึงยิ่งดันให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอีก โดยในปีนี้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นมากกว่า 33% และทำลายสถิติสูงสุดไปแล้วหลายครั้ง 

ปีเตอร์ เอ แกรนท์ รองประธานและนักกลยุทธ์อาวุโสด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของ Zaner Metals กล่าวว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยหลักต่อราคาทอง การเลือกตั้งสหรัฐในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าดูเหมือนจะยังคงขับเคี่ยวกันอย่างสูสี ดังนั้นความไม่แน่นอนทางการเมืองในระดับหนึ่งจึงผลักดันให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

“และแน่นอนว่าหากสถานการณ์ในตะวันออกกลางร้อนแรงขึ้นอีก เราอาจเห็นราคาทองคำพุ่งถึง 3,000 ดอลลาร์ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ผมค่อนข้างจะเอนเอียงไปในช่วงไตรมาสที่ 1 ปีหน้ามากกว่า” แกรนท์กล่าว พร้อมเสริมว่าแนวทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักหลายแห่ง เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น

ทั้งนี้ ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสส์พบว่า คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอยู่ที่ 46% เมื่อเทียบกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ที่มีคะแนน 43%

ด้านปัจจัยทางเทคนิคนั้น ดัชนี Relative Strength Index (RSI) ของสัญญาทองคำนั้นขณะนี้อยู่ที่ 74 ซึ่งบ่งชี้ว่า ราคาทองคำปรับตัวเข้าสู่ภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไปแล้ว (overbought)