ความลึกลับของบริษัทบริหารกองทุน BlackRock พวกเขาควบคุมโลกได้อย่างไร?
ความลึกลับของบริษัทบริหารกองทุน BlackRock พวกเขาควบคุมโลกได้อย่างไร?
ว่ากันว่าชาวยิวเชี่ยวชาญเรื่องการเงินต้งแต่อดีต และในปัจจุบันก็ยังมีชาวยิวที่เป็นผู้นำในวงการการเงินโลก เช่น กลุ่มผู้ก่อตั้ง BlackRock
กลุ่มผู้ก่อตั้ง BlackRock บริษัทจัดการลงทุนข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ซึ่งก่อตั้งและนำโดยกลุ่มนักลงทุนที่
นำโดย แลร์รี่ ฟลิงค์ (Larry Fink) ซึ่งมาจากครอบครัวอเมริกันเชื้อสายยิว ในขณะที่ทีมงานคนอื่นๆ ที่ร่วมกันก่อ
ตั้งก็เป็นชาวยิวเกือบทั้งหมด คนเหล่านี้จะมารวมตัวกันที่โต๊ะทำงานของ ฟลิงค์ จนทำให้พื้นที่ตรงนั้นเรียกว่า
Little Israel
Little Israel เป็นหัวใจของ BlackRock และมันคือศูนย์บัญชาการการเงิน การลงทุน และแม้แต่การเมืองของ
โลก ภายใต้การบริหารของคนที่ชื่อ แลร์รี่ ฟลิงค์ ในฐานะ CEO และทีมงาน Little Israel ของเขา แต่เพราะแกนนำของบริษัทเหล่านี้เป็นคนยิว ทำให้มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับพวกเขาและบริษัทชองพกวเขาว่า เป็นชาวยิวที่แอบบงการโลกอยู่ลับๆ ที่เบื้องหลัง โดยใช้พลังทางการเงินของพวกเขา เรื่องนี้เป็นข้อมูลที่แพร่หลายในโซเชียลมีเดียมาโดยตลอด แต่หลายๆ เรื่องไม่มีข้อมูลความจริง
ความจริงที่พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งก็คือ BlackRock เริ่มต้นมาจากความผิดพลาดของ ฟลิงค์ ก่อนหน้านี้ ฟลิงค์ และ
ทีมผู้ก่อตั้ง BlackRock เคยร่วมงานกันที่ First Boston บริษัทการเงินในนิวยอร์กในช่วงทศวรรษที่ 80 ในตอน
นั้น ฟลิงค์และทีมงานของเขาเป็นผู้บุกเบิกตลาดตราสารนี้ที่อิงกับการจำนองอสังหาริมทรัพย์ หรือ Mortgage-
backed security (MBS) ซึ่งต่อมามันจะบูมมาก แต่ก็บูมจนกลายเป็นฟองสบู่และวิกฤตซับไพร์มในช่วงปีที่
2007 - 2008
ฟลิงค์ เป็นแค่ผู้ปลุกตลาดนี้ให้บูม เขาไม่ได้มีส่วนทำให้มันพังทลาย ตรงกันข้าม ฟลิงค์ บริการงานได้ดีจน
เพิ่มทรัพย์สินของ First Boston ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ เขาประสบความสำเร็จในธนาคารจนถึงปี 1986
เมื่อแผนกของเขาสูญเสียเงิน 100 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ซึ่ง
ประสบการณ์นั้นเป็นแรงจูงใจให้เขาหันมาพัฒนาการบริหารความเสี่ยง เขาและทีมงานจึงเริ่มธุรกิจใหม่โดยขอเงินทุนจากบริษัทการเงินที่ทรงอิทธิพลในเวลานั้น คือ The Blackstone Group ซึ่งเจ้าของบริษัทเห็นด้วยกับวิสัยทัศน์ในการตั้งบริษัทบริหารความเสี่ยงและการสินทรัพย์ จึงให้เงินทุนในการทำธุรกิจโดยทั้ง 2 ฝ่ายต่างแบ่งกันถือหุ้น ปรากฏว่าบริษัทนี้ทำเงินอยางรวดเร็วในเวลาไม่กี่เดือน และหุ้นของ ทีมงานของ ฟลิงค์ ก็เริ่ม
มากกว่าของ Blackstone
ภายในปี 1992 พวกเขาตั้งชื่อบริษัทว่า BlackRock แต่ในอีก 2 ปีต่อมาผู้บริหารของ Blackstone กับ ฟลิงค์
จะขัดแย้งกัน และ Blackstone ตัดสินใจถอนตัวจาก BlackRock ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก และผู้บริหารของ Blackstone ก็ยอมรับว่าพลาดไปจริงๆ เพราะ Blackstone จะเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ
ภายในสิ้นปี 1999 BlackRock บริหารจัดการสินทรัพย์ถึง 1.65 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกับซื้อกิจการของ
บริษัทอื่นๆ มาครอบครองมากขึ้นเรื่อยๆ อีก 10 ปีต่อมา ในปี 2009 BlackRock ก็กลายเป็นผู้จัดการสินทรัพย์
ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
วันนี้ BlackRock เป็นผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 10 ล้าน
ล้านดอลลาร์ และจากข้อมูลของ โครงการ American Economic Liberties ซึ่งเป็นองค์กรที่เน้นการเปิดเผย
ความโปร่งใสของภาคธุรกิจ เปิดเผยในปี 2020 ว่าบริษัทจัดการสินทรัพย์ 'สามยักษ์ใหญ่' หรือ "the 'Big
Three" ได้แก่ BlackRock, Vanguard และ State Street จัดการสินทรัพย์ทั่วโลกรวมกันมากกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ มากกว่าสามในสี่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐอเมริกา
ถามว่าพวกเขาทำธุรกิจอย่างไร? ตอบสั้นๆ ว่า ธุรกิจของ BlackRock มีรากฐานมาจากการลงทุนใน Exchange-traded fund หรือ ETF ซึ่งเป็นนำเงินลงทุนไปกระจายซื้อทุกหลักทรัพย์หรือในสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยงของนักลงทุน แทนที่จะซื้อหุ้นในบริษัทเดียว โดยจะลงทุนในกองทุนที่ซื้อหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และหลักทรัพย์อื่นๆ แนวทางปฏิบัตินี้พิสูจน์แล้วว่าให้ผลกำไรมากสำหรับ BlackRock และนักลงทุน แต่พวกเขา สามารถกระจายความเสี่ยงและโกยกำไรจากการลงทุนที่หลากได้ เพราะมีซอฟต์แวร์การจัดการพอร์ตโฟลิโอที่สร้างขึ้นในปี 1998 ที่เรียกว่า Aladdin
Aladdin เป็นซอฟแวร์โซลูชั่นที่ครอบคลุมสำหรับกระบวนการลงทุนทั้งหมด ตั้งแต่การจัดการพอร์ตโฟลิโอไปจนถึงการประเมินความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม Aladdin เป็นอะไรที่ซับซ้อนกกว่านั้น เพราะมันมี AI ที่สามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินจำนวนมหาศาลที่นักวิเคราะห์ที่เป็นมนุษย์อาจจะพลาดได้ มันจะสามารถระบุและคาดการณ์ความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการเชิงรุกและลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ Aladdin ยังใช้ AI ในการวิเคราะห์แหล่งข้อมูลทางเลือก เช่น โซเชียลมีเดียและฟีดข่าวเพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับความรู้สึกและแนวโน้มของตลาด
มันคือผู้ครองโลกแห่งการลงทุนที่แท้จริง เพราะแค่ในปี 2013 Aladdin มีทรัพย์สินที่บริหารด้วย AI ของมัน
มูลค่าประมาณ 11 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงทรัพย์สินมูลค่า 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ของ BlackRock ด้วย ซึ่ง
คิดเป็นประมาณ 7% ของสินทรัพย์ทางการเงินของโลก และติดตามพอร์ตการลงทุนประมาณ 30,000 พอร์ต
ภายในปี 2020 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย Aladdin จัดการทรัพย์สินมูลค่า 21.6 ล้านล้านดอลลาร์ ใน
จำนวนนั้นคือบริษัทชั้นนำของโลกมากมาย
BlackRock เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Apple, Microsoft, Amazon, Facebook, Google และ Tesla เช่นกรณีของ Apple บริษัท BlackRock เป็นหุ้นรายใหญ่อันดับสองของ Apple จากตัวเลขของกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2024 BlackRock เป็นเจ้าของหุ้นของ Apple จำนวน 1,043,713,019 หุ้น หรือ 6.7% ดังนั้น BlackRock จึงสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถกำหนดทิศทางอนาคตของโลกได้ด้วยเพราะบริษัทเมคเหล่านี้ คือผู้นำแห่งโลกอนาคต
นอกจากนี้ BlackRock ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสื่อรายใหญ่ของโลกและของสหรัฐอเมริกา ตามรายงานปี
2023 ของสถาบัน Institute for Public Accuracy พบว่า BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
สองรายในบริษัทสื่อรายใหญ่ 6 แห่งที่ควบคุมทิศทางของสื่อมากกว่า 90% ของสหรัฐอเมริกา เมื่อรวมกันแล้ว
BlackRock และ Vanguard เป็นเจ้าของ Fox 18%, CBS 16%, Comcast 13%, Disney 12% และ News
Corp. 12% บริษัทพวกนี้ยังควบคุมสื่ออื่นๆ รายยิบย่อยลงมาอีกมากมาย
โดยเฉพาะการเป็นเจ้าของบางส่วนของ CNN และ FOX หมายความว่า BlackRock สามารถมีอิทธิพลต่อการ
รับรู้ข้อมูลของประชาชนที่สนับสนุนพรรคการเมือง 2 ฝ่ายสหรัฐอเมริกา ยังไม่นับการที่ BlackRock เป็นผู้ถือ
หุ้นรายใหญ่ที่สุดใน Sinclair Broadcast Group ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์จำนวน 223 สถานีทั่วสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องพูดถึงการถือหุ้นใน Graham Media Group ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ 40 แห่งและนิตยสารยอดนิยมหลายฉบับ ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาสามารถควบคุมข้อมูลข่าวสารของโลกเอาไว้ในกำมือ และอาจเป็นเพราะเหตุนี้ เราจึงไม่ค่อยพบข่าวด้านลบของบริษัทนี้เลย
ว่ากันว่าการทำสงครามคือการลงทุนที่ทำกำไรมากที่สุดให้กับสหรัฐอเมริกา เพราะมันทำให้มีเงินลงทุนมหาศาล
เข้าไปสู่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ และส่งที่ได้มาคือการที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปควบคุมประเทศเป้าหมายเอา
ไว้ได้โดยใช้ข้ออ้างต่างๆ BlackRock ก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับการลงทุนกับสงครามเช่นกัน พวกเขามีกองทุนที่เรียกว่า “กองทุนการบินและอวกาศและการป้องกันประเทศสหรัฐ" หรือ U.S. aerospace and defense ซึ่งอัดเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในผู้รับเหมาอาวุธรายใหญ่ เช่น Lockheed Martin, Raytheon, Boeing,
General Dynamics และ Northrop Grumman บริษัทเหล่านี้เป็นผู้รับเหมาอันดับต้นๆ ของกระทรวงกลาโหม
สหรัฐอเมริกา หรือเพนตากอน โดยแบ่งเงินงบประมาณด้านความมั่นคงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2017 แล้ว
เงินพวกนี้ก็กลับไปสู่ผู้ลงทุนที่ต้นทาง คือ BlackRock
ด้วยผลกำไรมหาศาลจากนโยบายประเทศ จึงมีเสียงลือกันว่า BlackRock มีอำนาจขนาดกำหนดนโยบายของ
ประเทศต่างๆ ได้ เพราะนอกจากพลังของเงินทุนของพวกเขาแล้ว BlackRock ยังให้บริการการจัดการความเสี่ยงและให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลและสถาบันต่างๆ BlackRock ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงทางการเมืองและผู้กำหนดนโยบายในหลายประเทศ พวกเขาว่าจ้างอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่หน่วยงานผู้กำกับดูแลของรัฐ และนายธนาคารกลางอย่างน้อย 84 คนทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ BlackRock จึงสามารถล็อบบี้ภาครัฐให้ผลักดันนโยบายหรือกฎระเบียบที่เป็นประโยชน์ หรือหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือความรับผิดชอบ
แลร์รี่ ฟลิงค์ มีความสัมพันธ์อันยาวนานกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐจนถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับ
ซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญาของรัฐบาลที่มอบให้ BlackRock โดยไม่มีการประมูลแบบแข่งขัน ในขณะที่
BlackRock จ้างอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาสหรัฐอเมริกาจำนวนมากให้มาทำงานกับบริษัทของตน เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve หรือFed) โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิดระบาด Fed ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการซื้อสินทรัพย์โดยมีBlackRock เป็นที่ปรึกษา ทำให้เกิดความกังวลว่า BlackRock จะใช้อิทธิพลของตนเพื่อสนับสนุนให้ Fed ซื้อผลิตภัณฑ์ของ BlackRock หรือไม่ คำตอบก็คือเป็นไปได้ เพราะเมื่อ Fed ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการ
อัดฉีดเงินเข้าระบบในปี 2020 ปรากฏว่าพันธบัตร ETF ของ BlackRock ได้รับเงินลงทุนใหม่ 4.3 พันล้าน
ดอลลาร์จากโครงการนี้ของ Fed เทียบกับ 33 ล้านดอลลาร์และ 15 ล้านดอลลาร์ของ BlackRock VanguardGroup และ State Street
นี่คือ อิทธิพลของ BlackRock แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องของ BlackRock นั่นเพราะพวกเขาอยู่หลังฉากของภาคธุรกิจและการเมือง แม้แต่ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของ BlackRock ต่างก็ทำตัวเงียบๆ ไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับผู้บริหารของบริษัทชั้นนำที่พวกเขาเข้าไปลงทุน เราจึงไม่ค่อยรับรู้ว่า แลร์รี่ ฟลิงค์ เป็นคนแบบไหน มีที่มาอย่างไร เกี่ยวข้องกับผู้ทรงอิทธิพลของโลกแค่ไหน เราจะรู้เรื่องของ ฟลิงค์ แค่ไม่กี่ครั้งที่เขาออกมาแสดงความห็นเกี่ยวกับการลงทุนเท่านั้น และมักเป็นเรื่องการลงทุนรวมๆ ไม่ได้พูดถึงประเด็นเฉพาะที่ทำให้ผู้คนจับสังเกตได้ว่าเขามีอิทธิพลต่อโลกอยู่ลึกๆ
และก็เช่นเดียวกัน มันสมองเบื้องหลังของ BlackRock และ แลร์รี่ ฟลิงค์ คือ Aladdin เรามีรายละเอียดเฉพาะ
เกี่ยวกับมันนั้นน้อยมากและหาได้ยากมาก จนเหมือนกับว่ามันถูกปกปิดไม่ให้คนนอกรับรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
จนถูกเรียกว่าเป็น BlackRock's black box จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าแท้จริงแล้วอะไรอยู่เบื้องหลัง AI ของ
Aladdin และ BlackRock มีความลับอะไรซ่อนอยู่บ้าง? และยังมีคำถามอีกด้วยว่า นอกจาก Aladdin แล้วยังมี
ระบบที่เทียบเคียงมันได้อีกหรือไม่ในโลก หรือ BlackRock คือเจ้าของเทคโนโลยีควบคุมทุนในโลกที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในตอนนี้ แต่เพียงผู้เดียว?
https://plisio.net/blog/what-is-blackrock