IRC ปี 66 ฟ้าหลังฝนแม้จะปรับประมาณการลง

IRC ปี 66 ฟ้าหลังฝนแม้จะปรับประมาณการลง

รายงานกำไร 4Q65 ที่ 32 ลบ. เติบโต 9.5%YoY และพลิกจากขาดทุนใน 3Q65 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเริ่มลดลง : รายงานกำไร 4Q65 (ก.ค.-ก.ย.65) ที่ 32 ลบ. ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาด แม้ว่ารายได้เติบโต 10%QoQ และเติบโต 22%YoY สู่ 1.54 พันลบ.

เนื่องจากยอดการผลิตรถยนต์เดือน ก.ค.-ก.ย. 65 ปรับตัวขึ้น 21%QoQ และเติบโต 97%YoY สู่ 540,327 คัน ขณะที่ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือน ก.ค.-ก.ย. 65 เติบโต 27%QoQ และเติบโต 34%YoY สู่ 493,926 คัน ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์รวมอยู่ที่ 2,838,819 คัน เติบโต14% YoY ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 5.1% สู่  6.8% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ เคมีภัณฑ์ ยางสังเคราะห์ และยางธรรมชาติ อ่อนตัวลงตามราคาน้ำมัน ด้านอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับตัวลง 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าสู่ 5.4% เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่แต่รายได้เติบโตเร็วกว่า ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไร 2565 ที่ 110 ลบ. หดตัว 68%YoY และสูงกว่าประมาณการเรา 2%

-  ยอดการผลิตรถยนต์เดือน ม.ค.-ก.ย.65 เติบโต 13%YoY เนื่องจากปัญหาขาดแคลนชิพเริ่มคลี่คลาย : ยอดการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมเดือน ม.ค.-ก.ย.65 อยู่ที่ 1,364,037 คัน และ 1,474,782 คันเติบโต 13%YoY และเติบโต 15%YoY ตามลำดับ และยอดผลิตรถยนต์ในเดือน ก.ค.-ก.ย. 65 อยู่ที่ 540,327 คัน เติบโต 21%QoQ และเติบโต 97%YoY เนื่องจากปัญหาขาดแคลนชิพเริ่มคลี่คลาย ขณะที่ยอดผลิตรถจักรยานยนต์เดือน ก.ค.-ก.ย. 65 อยู่ที่ 493,926 คันเติบโต 27%QoQ และเติบโต 34%YoY โดยการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เติบโตมาจากอุปสงค์ในการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและปัญหาขาดแคลนชิพเริ่มคลี่คลาย สอดคล้องกับสภาอุตสาหกรรมฯ ได้ปรับเพิ่มการผลิตรถยนต์ปี 65 ขึ้นจาก 1.75 ล้านคันสู่ 1.80 ล้านคัน และคาดว่าปี 66 จะมีการผลิตรถยนต์ราว 1.9 ล้านคัน จากปัญหาขาดแคลนชิพเริ่มคลี่คลายและการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้น
 

-  ปรับลดประมาณการกำไรปี 66 ลง 20% จากประมาณการเดิม เนื่องจากคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบจะปรับตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไป : ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้รวมปี 66 จาก 5.74 พันลบ. สู่ 6.34 พันลบ. เพิ่มขึ้น 7% จากปี 65 เนื่องจากสภาอุตสาหกรรมฯ ปรับเพิ่มยอดการผลิตรถยนต์ปี 65 ขึ้น 3%จากประมาณการเดิมสู่ 1.8 ล้านคัน และคาดว่าปี 66 ยอดการผลิตรถยนต์จะกลับสู่ภาวะปกติที่ระดับ 1.9 ล้านคัน เติบโต 6% เนื่องจากปัญหาขาดแคลนชิพเริ่มคลี่คลายและได้แรงหนุนจากการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออก โดยรายได้ปี 66 เติบโตสูงกว่าการเติบโตของยอดการผลิตรถยนต์เนื่องจากบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มขึ้นจากการเป็นคู่ค้ากับแบรนด์รถยนต์จีนและไทยที่เข้าสู่ตลาดรถยนต์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเราปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นจาก 12.5% สู่ 9.5% (GPM 2565 อยู่ที่ 7.5% และ GPM 4Q65 อยู่ที่ 6.8%) โดยคาดว่า GPM จะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลงส่งผลให้วัตถุดิบหลักอย่างเคมีภัณฑ์ และยางสังเคราะห์ปรับตัวลง นอกจากนี้บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งอื่น ใช้ระบบผลิตอัตโนมัติ รวมถึงบริหารจัดการของเหลือ (loss) ในการผลิตลดลง ส่งผลให้เราปรับลดประมาณการกำไรปี 66 ลงจาก 275 ลบ. เหลือ 219 ลบ. เติบโต 99%YoY 
 

- คงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมปรับลดราคาเหมาะสมปี 66 สู่ 16.00 บาท: ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Price to Earnings Ratio (P/E Ratio) โดยอิงค่าเฉลี่ย P/E Ratio ย้อนหลัง 3 ปีที่ 14.0 เท่า แต่ปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 66 จาก 1.43 บาทต่อหุ้นเหลือ 1.14 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 66 ลดลงจาก 18.30 บาทต่อหุ้นเหลือ 16.00 บาทต่อหุ้น โดยคาดหวัง Yield ปี 66 และ 67 ที่ 5.5% และ 7.5% ตามลำดับ ทั้งนี้ IRC มีจุดเด่นจาก 1) D/E ต่ำเพียง 0.4 เท่า ณ ก.ย. 65 และ 2) มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ (เงินสดราว 1.34 พันลบ. ณ ก.ย.65) ทั้งนี้ แม้ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานพอสมควร แต่เราคงคำแนะนำ “ถือ” เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันด้านต้นทุนซึ่งคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 66 

 

ปัจจัยเสี่ยง

i)    สงครามจีนและไต้หวันกระทบห่วงโซ่อุปทาน
ii)    ราคาน้ำมันและวัตถุดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
iii)    การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ อาทิ ฝีดาษลิง