Industrial Estate Sector น่าจะเห็นแนวโน้มเป็นบวกในปี 2566

Industrial Estate Sector น่าจะเห็นแนวโน้มเป็นบวกในปี 2566

ยอดอนุมัติสิทธิประโยชน์ BOI เพิ่มขึ้นในงวด 9M65... จากข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยอดขอสิทธิประโยชน์ BOI ของประเทศไทยในงวด 9M65 อยู่ที่ 4.39 แสนล้านบาท (-14% YoY)

; Figure 1 ซึ่งยอดขอ BOI ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญYoY เป็นเพราะในปีก่อนมีโครงการ mega project ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไฟฟ้าหนึ่งโครงการ (มูลค่า 1.54 แสนล้านบาทที่ยื่นขอในปี 2564) อย่างไรก็ตาม ยอดอนุมัติสิทธิประโยชน์ BOI ในงวด 9M65 แสดงสัญญาณที่ดีขึ้นเป็น 5.03 แสนล้านบาท (+43% YoY); Figure 2 ทั้งนี้ อุปสงค์การลงทุนใน Eastern
Economic Corridor (EEC) คิดเป็นประมาณ 56% ของยอดขอ BOI และ 33% ของยอดอนุมัติ BOI ในขณะที่โครงการตั้งอยู่ในจังหวัดระยองมากที่สุดที่ 78% และ 53% ของอุปสงค์การลงทุนใน EEC ซึ่งเมื่อแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าเป็นโครงการในกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20-30% ของยอดขอ BOI และยอดอนุมัติ BOI

Industrial Estate Sector น่าจะเห็นแนวโน้มเป็นบวกในปี 2566

 

เช่นเดียวกับยอดอนุมัติสิทธิประโยชน์ BOI สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

อุปสงค์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขอสิทธิประโยชน์ BOI โดยยอดขอสิทธิประโยชน์ BOI สำหรับ FDI ในงวด 9M65 อยู่ที่ 2.76 แสนล้านบาท (-25% YoY) ในขณะเดียวกัน ยอดอนุมัติ BOI ของ FDI อยู่ที่ 2.24 แสนล้านบาท (+11% YoY) ซึ่งหากแบ่งตามประเทศพบว่า สามประเทศหลักที่ยื่นของสิทธิประโยชน์ BOI และได้รับการอนุมัติสูงที่สุดได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน นอกจากนี้ เมื่อแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ากลุ่มหลักคืออิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร และการขนส่ง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดยื่นขอ และยอดอนุมัติ BOI ทั้งนี้กระแสของอุปสงค์การ
ลงทุนจากจีน ซึ่งเน้นไปที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร และการขนส่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้/ยืนยันกระแสของอุปสงค์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีน

 

 

คาดว่ายอดขายที่ดินในนิคมฯ จะเพิ่มขึ้นในปี 2566

ยอดขายที่ดินของ Amata Corporation (AMATA.BK/AMATA TB)* และ WHA Corporation (WHA.BK/WHA TB)* ในปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยยอดขายที่ดินของ AMATA ในงวด 9M65 อยู่ที่ ~400 ไร่ ในขณะที่ของ WHA อยู่ที่ ~1,500 ไร่ เราคาดว่ายอดขายที่ดินของทั้ง AMATA และ WHA จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566 (เป็น 900 ไร่ และ 1,700 ไร่ตามลำดับ) เราคาดว่ายอดขายที่ดินที่เร่งตัวขึ้นในปีนี้ และจะดีขึ้นต่อเนื่องในปีหน้าจะช่วยสนับสนุนยอดโอน และ
แนวโน้มกำไรของบริษัทในกลุ่ม

 

AMATA และ WHA น่าจะได้อานิสงส์จากแนวโน้มบวกของอุตสาหกรรม

เราพบว่าทั้ง AMATA และ WHA มีพอร์ตที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ที่ดินในนิคมฯ อย่างเช่น WHA มีลูกค้าจีนประมาณ 30% ในขณะที่ AMATA มีประมาณ 35% ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มยานยนต์ของทั้งสองบริษัทคิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 25% ส่วนลูกค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของทั้ง AMATA และ WHA คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 10% ดังนั้น เราจึงคาดว่าทั้ง AMATA และ WHA จะได้อานิสงส์จากกระแสอุปสงค์การลงทุนจากจีน อย่างไรก็ตาม เราพบว่า WHA มีการเตรียมตัวที่พร้อมกว่า โดยมีจำนวนนิคมฯ ในปัจจุบัน 11 แห่ง และจะเปิดใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง

 

 

 

Valuation & Action

เราชอบ WHA มากกว่า AMATA เพราะมีการเตรียมตัวที่พร้อมกว่า และมีการกระจายธุรกิจดีกว่า เราให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ Neutral โดยยังคงคำแนะนำและราคาเป้าหมายของ AMATA (แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 20.00 บาท) และ WHA (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท)

 

Risks

ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk), เศรษฐกิจชะลอตัวลง, ภัยธรรมชาติ, การซื้อที่ดิน, การกระจุกตัวของกลุ่มอุตสาหกรรม, เงินทุนไม่เพียงพอ