Investment Strategy - แนวโน้มนโยบาย Fed กลับมาเขย่าตลาดอีกครั้ง
ในถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐต่อคณะกรรมการของวุฒิสภา ประธาน Fed ระบุอย่างชัดเจนว่าการต่อสู้กับเงินเฟ้อของธนาคารกลางยังไม่จบ หลังจากตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในช่วงต้นเดือนก.พ. นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อ และตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องยังสะท้อนแรงกดดันทางด้านราคาในสหรัฐยังค่อนข้างร้อนแรง โดยดัชนีเงินเฟ้อ PCE อยู่ที่ 4.7% ในเดือนก.พ. ซึ่งยังสูงกว่าเป้า 2% ของ Fed อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่า Fed จะผ่อนจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยลงมาเหลือ 25bp แต่ Powell ส่งสัญญาณว่า Fed อาจจะจำเป็นต้องกลับไปใช้นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยแรงขึ้นอีก ถ้าหากเศรษฐกิจยังร้อนแรงอยู่ ซึ่งหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว (terminal rate) จะสูงกว่า 5.1% ที่ธนาคารกลางคาดเอาไว้เมื่อเดือนธ.ค. ของปีที่แล้ว แม้ว่าตลาดการเงินจะคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะนานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ถ้อยแถลงของประธาน Fed ยังเขย่าตลาดการเงินอยู่ดี โดยดัชนี Dow Jones ลดลงมากกว่า 570 จุด (-1.72%) ในขณะที่ดัชนี USD วิ่งขึ้นแรงถึง 105.6 (+1.23%) ส่วน UST2Y ก็พุ่งขึ้นไปเหนือ 5% เป็นครั้งแรก ส่งผลให้ US 2Y10Y เกิด inversion มากยิ่งขึ้นเกิน 100bp แล้วในขณะนี้ ซึ่งเป็น inversion ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 1981
Analysis
จากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด เป็นที่คาดหมายได้ถึงท่าที hawkish ของ Fed เมื่อคืนนี้ หรือในการประชุม FOMC ปลายเดือนนี้ เราคิดว่ามีโอกาสมากขึ้นที่ Fed จะกลับไปขึ้นดอกเบี้ย 50bp อีกครั้งในการประชุมนัดหน้า แต่ Fed อาจจะต้องรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (10 มี.ค.) และตัวเลขเงินเฟ้อ (14 มี.ค.) ก่อนที่จะตัดสินใจ เรายังคงคาดว่า terminal rate จะอยู่ที่ 5.75% แต่ความเสี่ยงของประมาณการของเราค่อนไปทาง upside นอกจากนี้เรามองว่ามีโอกาสน้อยลงที่ Fed จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวแบบ “soft-landing” เพราะทั้งตลาดงาน และเงินเฟ้อยังไม่ยอมลงง่าย ๆ ทั้งสองปัจจัยนี้ต้องปรับลดลงมาแรงถึงจะดึงให้เงินเฟ้อกลับลงมาอยู่ตามเป้า 2% ของ Fed ได้ โดยดัชนีที่ชี้ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตได้ขยับสูงขึ้นมาอย่างมาก อันดับแรกคือ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของ Fed สาขา New York ขยับขึ้นมาเหนือ 57% ในเดือนม.ค. จากการที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 3M10Y และ 2Y10Y ยังเกิด inversion อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน Leading Economic Index (LEI) ยังหดตัวหนักขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนมานี้ ซึ่งภาวะที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอลง) ไม่เป็นผลดีกับหุ้น cyclical และกลุ่มเทคโนโลยี เราคิดว่าตลาดในภูมิภาค ซึ่งรวมตลาดไทยด้วยจะได้รับผลกระทบอย่างหนักเมื่อเปิดทำการตอนเช้าวันนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อประเด็นการเติบโตของเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ย อย่างเช่น อิเล็กทรอนิกส์ และfinance เราคาดว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว, โรงพยาบาล และสาธารณูปโภค น่าจะประคองตัวได้ดี และดีกว่าหุ้นอื่น ๆ ในสภาวการณ์ปัจจุบัน