ตลาดสับสนเป็นโอกาสทยอยซื้อและเพิ่มน้ำหนักการลงทุน
เฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาดและแถลงการเป็นบวก เราเชื่อว่าเฟดกำลังจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ เฟดขึ้นดอกเบี้ย +0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งเป็นไปตามที่ลาดคาด
เรามองบวกต่อแถลงการเนื่องจาก 1) การที่เฟดยังโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องดูแลเงินเฟ้อ แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจ 2) ถ้อยแถลงว่าปัญหาภาคธนาคารมีผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยและทำให้เฟดอาจต้องลดความตึงตัวลง เป็นบวกต่อเส้นทางดอกเบี้ย 3) การถอดคำพูดเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง (ongoing hike) ที่ปรากฎในแถลงการณ์ 8 ครั้งหลังออกจากแถลงการณ์ล่าสุด ส่งสัญญาณเฟดน่าจะใกล้หยุดขึ้นดอกเบี้ย 4) ความเห็นอัตราดอกเบี้ยของกรรมการรายบุคคล (Dot plot) ปี 2567 สูงขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เฟดยืนยันไม่ลดดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้ ช่วยชะลอการไหลของเงินไปยังตลาดพันธบัตร 5) ตัวชี้วัดความเสี่ยงต่างๆ มีสัญญาณปรับลดลง // โดยรวมเราคงมุมมองบวกต่อนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่มีต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเอื้อต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นแม้อาจผันผวนช่วงสั้นก็ตาม
ตลาดหุ้นปรับลงจากความกังวลเกี่ยวกับการส่งสัญญาณไม่เพิ่มการประกันเงินฝากของสหรัฐฯ เรามองตลาดไม่ได้ผิดหวังที่เฟดไม่ลดดอกเบี้ย แต่สาเหตุสำคัญมาจากการแถลงต่อสภาคองเกรสของ รมว.คลัง เจเน็ต เยลเลน ที่ยืนยันว่ายังไม่มีการพิจารณาเรื่องการเพิ่มระดับคุ้มครองเงินฝากขึ้นจากปัจจุบันที่ไม่เกินบัญชีละ $250,000 ส่งผลให้ตลาดยังกังวลเกี่ยวกับการไหลออกของเงินฝากจากธนาคารภูมิภาค โดยบางส่วนอาจไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้จากอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูง
กรอบการซื้อขายเชิงมูลค่าที่ 1,520-1,730 จุด เรายังคงมุมมองกรอบ valuation ของตลาดที่สื่อสารไปในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดหวังบรรยากาศลงทุนจะทยอยปรับดีขึ้น โดยมีธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) หุ้นท่องเที่ยวและเปิดเมือง 2) หุ้นได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ 3) หุ้นได้ประโยชน์จากต้นทุนลดลง 4) หุ้นได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรผ่านจุดสูงสุด 5) การย้ายฐานการผลิตมาไทย หุ้นที่เราชอบได้แก่ ERW, VRANDA, SPA, MAJOR, PTG, OR, CPALL, MAKRO, BJC, GULF, BGRIM, GUNKUL, ADVANC, WHA, AMATA, ROJNA เป็นต้น
ภาพรวมกลยุทธ์: มีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดลงเพราะความสับสน แต่เป็นโอกาสซื้อ และเราปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นขึ้นเป็น 60% (จาก 50%) ทยอยสะสมเน้น selective buy กลุ่มที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนในปี 2566 และยังมีการถือครองที่ต่ำ (Underowned) ได้แก่ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกรายตัว โดยหุ้นที่เรามองสามารถทยอยสะสม ได้แก่ MAJOR, CPALL, MAKRO, BJC, PTTGC, IRPC, TIDLOR, AMANAH, MILL, TSTH, KSL, ROJNA, SAMART, SDC เป็นต้น
หุ้นแนะนำ: GUNKUL*, ESSO*, BJC*, CPALL
แนวรับ: 1,569 / แนวต้าน : 1,587-1,600 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
IMF บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นช่วยเหลือยูเครน 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์ – กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และเจ้าหน้าที่รัฐบาลยูเครนบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินระยะเวลา 4 ปี มูลค่า 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 77 ปีของ IMF ที่ให้เงินกู้ยืมแก่ประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม
Opportunity day - 23 มี.ค. – SPCG, SABUY, TSR, KJL, SALEE, HTC, GRAMMY / 24 มี.ค. – B-WORK, LEO, MICRO, TKS, SISB, PLUS, PDJ / 27 มี.ค. – DDD, SYNTEC, NER, WP, NDR, TQM, TNITY
ประเด็นติดตาม: 23 มี.ค. – New Home Sales, Building Permits / 24 มี.ค. - Core Durable Goods Orders / 28 มี.ค. - CB Consumer Confidence / 29 มี.ค. - Pending Home Sales
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)