Daily Strategy : โฟกัสหุ้นรายตัว - 18 เมษายน 2566
ตลาดหุ้นวานนี้ SET Index เพิ่มขึ้น 8 จุด ปิดที่ระดับ 1,600 จุด ดัชนีปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หุ้นที่ปรับตัวขึ้นเด่นส่วนใหญ่จะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มอิเล็กฯ, ค้าปลีกมือถือ และ กลุ่มโรงพยาบาล
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้
ประเมิน SET แกว่งตัว 1,590 - 1,610 จุด แม้ภาวะตลาดจะได้แรงซื้อหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและการซื้อดักงบ 1Q23 ที่กำลังจะทยอยประกาศ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงประกอบกับความกังวล FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 5.25% ในการประชุม 2 -3 พ.ค. จะกดดันทิศทางดัชนีให้ผันผวนต่อไป จึงแนะนำ Selective buy เช่นเดิม
กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy
BBL KTB KBANK SCB ADVANC INTUCH BCH WHAUP คาดการณ์งบ 1Q23F เติบโตขึ้น
SAWAD MTC KTC ASK อานิสงส์เงินฟ้อไทยชะลอตัวลง
หุ้นแนะนำวันนี้
BBL (ปิด 159 ซื้อ/เป้า 180 บาท) คาดกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ 10429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8%qoq และ 46%yoy และจะขึ้นเครื่องหมาย XD 3 บาท ในวันที่ 21 เม.ย. ให้ Dividend yield 1.9%
BDMS (ปิด 30.25 ซื้อ/เป้า 37 บาท) คาดกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ 3.3 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 4%qoq สะท้อนโมเมนตัมของผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง แนวโน้ม 2Q23 โตต่อเนื่องและจะ peak สุดในช่วง 3Q23 ซึ่งเป็น High season ของธุรกิจ
บทวิเคราะห์วันนี้
BDMS (ปิด 30.25 ซื้อ/เป้า 37 บาท), TTW (ปิด 8.75 ขาย/เป้า 8 บาท)
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+/-) วันนี้ TISCO ประกาศงบ 1Q23 จับตากำไรสุทธิดีตามคาดหรือไม่: เบื้องต้นเราคาดว่า TISCO จะมีกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ 1,877 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4%qoq และ 5%yoy หากผลกำไรออกมาดีตามคาดหรือดีเกินคาดจะเป็น Sentiment บวกโดยตรงกับ TISCO และหุ้นธนาคารอื่นๆ ตรงกันข้ามหากกำไรต่ำกว่าที่คาดจะเป็น Sentiment ลบกับหุ้นธนาคารด้วยเช่นกัน
(+) ติดตามจีนประกาศ GDP 1Q23 คาดขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ไตรมาส : Consensusคาด GDP ไตรมาส 1/23 จะขยายตัว 4% สูงขึ้นจากไตรมาส 4/22 ที่ขยายตัว 2.9% นับเป็นการขยายตัวมากที่สุดในรอบ 4 ไตรมาส ถือเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตดังกล่าวยังต่ำกว่าหากเทียบกับคาดการณ์ GDP ของ IMF ที่คาดไว้ที่ 5.2%
(-) น้ำมันดิบร่วงแรงกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยกระทบดีมานด์: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.69 ดอลลาร์ หรือ 2.05% ปิดที่ 80.83 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนกังวลเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเป็นลบต่อสินค้าในกลุ่ม Commodity และเป็นลบต่อหุ้นในกลุ่มน้ำมัน