วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Non-ฺBank Sector ประมาณการ 2Q66F – กำไรมีแนวโน้มลดลง
เราคาดว่าผลประกอบการของบริษัทในกลุ่ม non-bank ส่วนใหญ่จะชะลอตัวลงใน 2Q66F เพราะโมเมนตัมเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงเพิ่มแรงกดดันต่อ credit cost เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมของกลุ่ม non-bank ที่เราศึกษาอยู่ (ไม่รวม SINGER) จะทรงตัว QoQ แต่ลดลง 3% YoY ใน 2Q66F และจะลดลง 1% ในงวด 1H66
โดยกำไรที่แผ่วลง QoQ สะท้อนถึงกำไรที่ชะลอตัวลงของ KTC และ TIDLOR จากฐานรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงใน 1Q66 ในขณะที่กำไรที่ลดลง YoY สะท้อนถึง credit cost ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายบริษัท เราคาดว่ากำไรของ SAWAD จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากยอดขายมอเตอร์ไซค์ยังคงเร่งตัวขึ้น ซึ่งการที่บริษัทใช้กลยุทธ์เชิงรุในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อ H/P รถมอเตอร์ไซค์จะทำให้สินเชื่อยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้น
สินเชื่อยังขยายตัวดี แต่มาร์จิ้น (margin) ลดลง
จากข้อมูลที่ได้จากบริษัท สินเชื่อของกลุ่ม non-bank ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งใน 2Q66F แม้ว่า NPL เกิดใหม่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อแยกเป็นรายบริษัท เราคาดว่าสินเชื่อของ MTC จะขยายตัวประมาณ 5% QoQ และ 25% YoY ในขณะที่สินเชื่อของ TIDLOR น่าจะโตได้มากกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าสินเชื่อของบริษัท non-bank ขนาดเล็ก (อย่างเช่น SAK, HENG) จะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่า ในขณะเดียวกัน margin ของทุกบริษัทถูกกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เพราะมีการ rollover หุ้นกู้ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่ yield สินเชื่อยังทรงตัว เพราะทุกบริษัทยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอาไว้เท่า
เดิม
สินเชื่อเพิ่ม NPL ก็เพิ่ม – เรายังชอบ SAWAD และ TIDLOR
รายได้ภาคเกษตร และการบริโภคในประเทศที่อ่อนแอลงกดดันคุณภาพสินทรัพย์ ในขณะที่ NPL ที่เกิดใหม่จำนวนมากทำให้ credit cost สูงขึ้น โดยเฉพาะในบริษัทที่มีส่วนรองรับหนี้เสียต่ำ (อย่างเช่น MTC) เพื่อรองรับการ write-off หนีเสีย และผลขาดทุนจากการขาย NPL อย่างไรก็ตาม ส่วนรองรับหนี้เสียที่สูงของ KTC และ TIDLOR จะทำให้ทั้งสองบริษัทต้องบริหารจัดการ credit cost ในขณะที่ NPL ที่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ของ SAWAD จะทำให้ credit cost อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ซึ่ง ณ จุดนี้เรายังคงมองบวกกับ SAWAD และ TIDLOR
Risks
NPL เพิ่มขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่าย (credit cost) สูงขึ้น