วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.โกลเบล็ก IP คาดกำไร 3Q66 ปรับตัวดีขึ้นจาก 2Q66 ที่ต่ำคาดมาก
กำไร 2Q66 ต่ำคาดอย่างมีนัยสำคัญจากค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น : รายงานกำไร 2Q66 ที่ 11 ลบ. หดตัว 72%QoQ และหดตัว 63%YoY เนื่องจากค่าใช้จ่ายโฆษณาทางโทรทัศน์ในกลุ่มผลิตภัฑณ์โภชนเภสัชและอาหารเสริมเพิ่มขึ้นราว 20 ลบ. เป็นปัจจัยกดดันกำไร
ขณะที่รายได้อยู่ที่ 444 ลบ.เติบโต 9%YoY แต่หดตัว 6%QoQ เนื่องจากรายได้จากการรับจ้างผลิตกลุ่มโภชนเภสัช อาหารเสริม และนวัตกรรมความงามลดลง ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงจาก 1Q66 ที่ 39.9% สู่ 38.2% เนื่องจาก Product Mix ที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ปรับตัวขึ้นจาก 1Q66 อีก 17 ลบ. สู่ 147 ลบ. จากค่าโฆษณา ค่าคอมมิชชั่น และการรวมธุรกิจกลุ่มร้านขายยาและโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ทั้งนี้กำไร 1H66 อยู่ที่ 51 ลบ. -15%YoY และคิดเป็น 30% ของประมาณการเดิมที่ 179 ลบ.
- คาดกำไร 3Q66 ปรับตัวดีขึ้นจาก 2Q66 : คาดรายได้จะปรับตัวขึ้นจาก 2Q66 กลับมาใกล้เคียงรายได้ 1Q66 ที่ 475-485 ลบ. เนื่องจากมีการเร่งขยายสาขา Lab Pharmacy ใน 2H66 อีก 9 สาขา ช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ อีกทั้งคาดว่าจะมียอดคำสั่งซื้อจากการรับจ้างผลิตกลับมา ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นจาก 38.8% สู่ 39.0-39.5% เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทำให้มี Economies of Scales นอกจากนี้คาดว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะไม่สูงเท่า 2Q66 แม้ว่าจะมีการโฆษณายาพาราฯ แบรนด์ Bellpara ทางโทรทัศน์เนื่องจากจะรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายปลายเดือน ก.ย.-พ.ย. 66
- ปรับลดประมาณการกำไรปี 66 และ 67 ลดลง 23% และ ลดลง 6% เหลือ 138 ลบ. และ 184 ลบ. ตามลำดับ : ฝ่ายวิจัยคงประมาณการรายได้ปี 66 ที่ 1.94 พันลบ. เติบโต 27%YoY เนื่องจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติบโตหลังจากปัญหาสินค้าปลอมหมดไป และรับรู้รายได้ รพ. นครพัฒน์ เต็มปี ขณะที่ร้านขายยา Lab Pharmacy ยังเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง ณ มิ.ย. 66 มีสาขาทั้งสิ้น 26 สาขา และมีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 9 สาขาภายในปลายปี 66 แต่ปรับลดกำไรลงจาก 179 ลบ. เหลือ 138 ลบ. ลดลง 23% จากประมาณการเดิม เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเพิ่มขึ้นราว 40 ลบ. ทั้งนี้เราปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นจาก 40.5% เหลือ 39.5% เนื่องจาก Product Mix ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่คาดว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะเพิ่มขึ้นจาก 27.5% สู่ 29.0% จากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้เราคงประมาณการรายได้ปี 67 ที่ 2.13 พันลบ. เติบโต 10%YoY แต่คาดว่ากำไรจะลดลงจาก 200 ลบ. เหลือ 189 ลบ. ลดลง 6%จากประมาณการเดิม เนื่องจากค่าใช้จ่ายเติบโตช้ากว่ารายได้และเริ่มมี Economies of Scales จากการขยายสาขา Lab Pharmacy
- มีอัพไซด์จากการนำ Lab Pharmacy และ รพ. นครพัฒน์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ : บริษัทมีแผนนำบริษัท ดรัก แคร์ จำกัด (Lab Pharmacy) ซึ่งบริษัทถือหุ้น 88.6% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2567 และ บริษัท นครพัฒน์ จำกัด (โรงพยาบาลนครพัฒน์ จ.นครศรีธรรมราช) ซึ่งบริษัทถือหุ้น 50% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2568 ช่วยปลด ล็อกมูลค่าบริษัทเนื่องจากทั้ง 2 บริษัทมีศักยภาพในการเติบโตทำให้มูลค่าบริษัทปรับตัวขึ้น
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 67 ที่ 17.00 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Prospective P/E Ratio โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีที่ 41.5 เท่า เราคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) สำหรับปี 2567 ที่ 0.41 บาทต่อหุ้นได้ราคาเหมาะสม 17.00 บาทต่อหุ้นซึ่งเท่ากับราคาเหมาะสมเดิม ทั้งนี้ราคาที่ประเมินได้สูงกว่าราคาปิดล่าสุดจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ความเสี่ยง : การขยายสาขาร้าน Lab Pharmacy ล่าช้า
: เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้คนบริโภคอาหารเสริมลดลง