กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ หุ้นแนะนำ ธ.ค. 2566 – เน้นเทรดดิ้งกลุ่มการบริโภค กลุ่มอาหาร และ กลุ่มนิคมฯ
พอร์ตหุ้นแนะนำ พ.ย. บวก 5.5% และให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าตลาดโดยรวม ในเดือนพฤศจิกายน ตลาดหุ้นไทยผันผวนหนักจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งบวกและลบ
โดยปัจจัยบวกหลัก ๆ มาจากต่างประเทศ ปัจจัยแรก คืออัตราผลตอบแทนพันบัตรสหรัฐ และไทยลดลงอย่างมาก สะท้อนถึง
อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอีก และความเห็นจากธนาคารกลางหลัก ๆ ที่พากันออกมาบอกว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะถึงจุดสูงสุดไปแล้ว ปัจจัยที่สอง คือนักลงทุนเห็นความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และ EU ในช่วง 1H67 และปรับพอร์ตเพื่อสะท้อนความคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญว่าจะเริ่มมีการลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในกลางปี 2567 ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และหนุนกระแสการลงทุนจากเอเชีย อย่างไรก็ตาม ดัชนี SET ยังคงถูกกดจากปัจจัยลบภายในประเทศ ปัจจัยแรก คือตัวเลข GDP 3Q66 ที่ออกมาน่าผิดหวัง และทำให้มีการปรับลดประมาณการ GDP ของปี 2566 และ 2567 ลง ปัจจัยที่สอง คือโมเมนตัมการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยช้ากว่าที่คาดไว้ ปัจจัยที่สาม คือยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการ digital wallet อยู่
มุมมองตลาดหุ้น ธ.ค. น่าจะรีบาวนด์ได้บ้างในโค้งสุดท้ายของปี หลังตลาดหุ้นไทยอ่อนแอมานาน
ในเดือนธันวาคม เรามองแนวโน้มดัชนี SET เป็นกลางถึงบวกเล็กน้อย โดยคาดว่าตลาดอาจจะ rebound ได้บ้างท่ามกลาง i) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งของไทยและสหรัฐยังคงลดลงอีก เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ 4Q63 เป็นต้นไป หลังจากที่ตัวเลขออกมาแข็งแกร่งมากใน 3Q66 ดังนั้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจึงน่าจะยังคงอ่อนแอต่อไป
ii) มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นการบริโภค (ไม่รวม digital wallet) ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันอยู่ ซึ่งได้แก่ มาตรการ e-Refund เพื่อกระตุ้นการบริโภคของชนชั้นกลางที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับเงิน digital wallet, การขึ้นเงินเดือนข้าราชการใหม่ และ ข้อเสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และ iii) แรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ จากการออกกองทุน TESG ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงการทำ window dressing ในช่วงสิ้นปี2566
หุ้นแนะนำ ธ.ค. – ยังคงคัดหุ้นแบบ bottom-up โดยเน้นกลุ่มการบริโภคบางตัว, กลุ่มอาหาร และกลุ่มนิคมฯ
สำหรับกลยุทธ์การซื้อขาย และคัดหุ้นในเดือนนี้ เรามองว่าดัชนี SET มี upside ไม่มากนักในเดือนธันวาคม ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนยังคงใช้ธีมการซื้อขายหุ้นแบบ bottom-up มากกว่ากุล่ม big caps ตามปกติ โดยกลุ่มแรกที่เราแนะนำคือหุ้นในกลุ่มสินค้าที่เรียกว่า consumer discretionary ซึ่งจะได้อานิสงส์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่กำลังจะเริ่มมีผลอย่างเช่น e-Refund ซึ่งในกลุ่มนี้เราชอบ CPN*, GLOBAL* และ HMPRO* ส่วนกลุ่มที่สองคือกลุ่มที่มีประเด็นฟื้นตัวในกลุ่มอาหาร ซึ่งคาดว่ากำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยในกลุ่มนี้ เรายังคงเก็บ RBF และ TU* ไว้ในพอร์ตหุ้นรายเดือนของเรา กลุ่มที่สามคือกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งยอดขายที่ดินมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 4Q66 ประกอบกับยังมีกระแสข่าวบวกจาก FDI ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน โดยในกลุ่มนี้ เราเลือก AMATA* และ WHA*