วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ผันผวน
วันอังคารที่ผ่านมา ดัชนีเปิดโดดขึ้นในช่วงแรง บวกสูงสุดราว 10 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น หลังจาก Bond Yield สหรัฐฯ อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามดัชนีเผชิญแรงขายต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีปรับตัวลงในแดนลบเล็กน้อย
เป็นแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงาน และค้าปลีก แต่มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และไอซีที ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,414.93 จุด -3.52 จุด -0.25% มูลค่าการซื้อขาย 42,574 ลบ. Program Trading -1,206.83 ลบ. ต่างชาติ -1,005.87 ลบ. TFEX +3,394 สัญญา ตราสารหนี้ +1,784.65 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ +2.1% ปิดที่ 72.24 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลางและการที่ลิเบียยังคงปิดบ่อน้ำมันขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
+ สหรัฐเปิดเผย ตัวเลขขาดดุลการค้าในภาคสินค้าและบริการลดลง 2.0% สู่ระดับ 6.32 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.50 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 6.45 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค.
+ รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูล Core CPI ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสด แต่รวมเชื้อเพลิง ในกรุงโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่น +2.1%YoY ในเดือนธ.ค. 2566 ก่อนหน้า ซึ่งป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยชะลอตัวจาก 2.3%YoY ในเดือนพ.ย.
+ ที่ประชุมครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวงจัดสรรน้ำ-การใช้น้ำ รวม 3 ฉบับและเตรียมเสนอพ.ร.บ.อากาศสะอาดต่อรัฐสภาฯ
+ ธปท. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการร่างหลักเกณฑ์การให้ใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ว่ากำลังปรับปรุงรายละเอียดหลักเกณฑ์ขั้นสุดท้ายให้สอดคล้องกับการหารือกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องหารือร่วมกันก่อนเสนอให้กระทรวงการคลังอนุมัติหลักเกณฑ์และประกาศต่อไป
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 157.85 จุด หรือ -0.42% ถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินว่า FED จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ พร้อมกับจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้
- FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 65.7% ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. ลดลงจาก 79% ก่อนหน้านี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงเกินคาดในเดือนธ.ค.
- ธนาคารโลกออกรายงาน "แนวโน้มเศรษฐกิจโลก" ระบุว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 2.4% ในปีนี้ ชะลอตัวติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ก่อนที่จะขยายตัว 2.7% ในปีหน้า
- อิสราเอลประกาศเพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่านเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงในภูมิภาค หลังจากที่อิสราเอลเผชิญการโจมตีจากกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
- กระทรวงกลาโหมอังกฤษประกาศส่งเรือรบ HMS Richmond เข้าร่วมกับกองเรือที่นำโดยสหรัฐเพื่อป้องกันการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตีต่อเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง
- รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงสัปดาห์แรกของปีมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา 605,537 คน ภาพรวมสัปดาห์ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาลดลง 184,106 คน หรือลดลง 23.32% จากสัปดาห์ก่อนหน้า
- สภาผู้ส่งออกคาดแนวโน้มการส่งออกในปี 2566 มีมูลค่า 2.85 แสนล้านดอลลาร์ หรือหดตัว 1% ตามกรอบที่เคยประเมินไว้ในก่อนหน้านี้ หลังภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทย 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) หดตัว 1.5%YoY แม้ส่งออกใน 4Q66 กลับมาขยายตัวเป็นบวกได้
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยมีแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคงกังวลประเด็นความเสี่ยงเรื่องการ rollover หุ้นกู้ในประเทศ มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,410-1,420 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• Easy E-Receipt : BJC CPALL CPAXT COM7 SPVI CPW JMART HMPRO DOHOME GLOBAL ZEN M AU TNP KK
• หุ้นที่มี ESG สูง และอยู่ใน SET50 : ADVANC CPALL CPF CRC OR PTTEP TOP
• ค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ปรับตัวขึ้น 41%QTD : RCL
• หุ้นเด่น IAA : AOT CPALL CPN GPSC
หุ้นรายงานพิเศษ
MGT ซื้อ (ราคาเหมาะสม 3.80 บาท)
คาดผลประกอบการ 4Q66 ทำจุดสูงสุดของปี
•คาดผลประกอบการช่วงที่เหลือของปี 23 และปี 24 ยังเติบโตได้ดี จากคำสั่งซื้อที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับล่าสุดได้เข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศ สิงคโปร์ JIOS AEROGEL HOLDINGS PTE. LTD. ผู้ผลิตและจำหน่ายฉนวนกันความร้อนแบตเตอรี่รถยนต์อีวี (ถือไม่ต่ำกว่า5%) และธุรกิจไบโอเทคโนโลยี ในประเทศเกาหลี ABio materials Co., Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตสเต็มเซลล์ (ถือหุ้นราว 8-9%) เพื่อทำธุรกิจความงามในอนาคต คาด 4Q23 มีกำไรสุทธิราว 26.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +32.0%QoQ และฟื้นตัวจากฐานต่ำ 1,268%YoY เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 23-24 ที่ระดับ 92.6 ล้านบาท และ 106.4 ล้านบาท เติบโต +23.2%YoY และ +15.3%YoY ตามลำดับ
•ความเห็น : เรามีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ 4Q66 ของบริษัท โดยคาดว่ามีโอกาสทำจุดสูงสุดของปี ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอิงค่าเฉลี่ย PER เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 14 เท่า ได้ราคาเหมาะสมปี 24 เท่ากับ 3.80 บาท ยังมี Upside จากราคาปัจจุบัน คงคำแนะนำ “ซื้อ”
หุ้นมีข่าว
(+) DELTA (Bloomberg consensus 79.50 บาท) ตั้งเป้าโตต่อในปี 2567 อีกไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2566 ที่โต 15-20% ชี้ดีมานด์มาสอดคล้องอีวีโตแรง ชี้ธุรกิจเมกะเทรนด์ตอบสนองโลกใหม่ อีวี AI และ ไฮเปอร์สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่การย้ายฐานซัพพลายเชนเข้ามาในไทยราว 50-60% หนุนประสิทธิภาพลดต้นทุน (ที่มา ทันหุ้น)
(+) EA (Bloomberg consensus 55.00 บาท) เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตแก่สวิตเซอร์แลนด์ จากโครงการ e-Bus ตามสัญญา 5 แสนตันแล้ว ราคาดีตันละ 1,200 บาท จ่อคุยสัญญาเพิ่มอีก 1 ล้านตัน มีโอกาสเพิ่มราคาขาย มองตลาดตื่นตัว แย้มเจรจาจำหน่ายให้ประเทศอื่นด้วย ส่วนตลาดอีวีเติบโตแรง ปี 2567 เร่งส่งมอบรถกว่า 5-6 พันคัน แบตเตอรีแล้วเสร็จ 2 กิกะวัตต์ต้นปี (ที่มา ทันหุ้น)
(+) DTCENT (Bloomberg consensus - บาท) ขยายไลน์สู่ธุรกิจประดับยนต์ เดินหน้าปั้น DTC SHOP ในสถานีบริการน้ำมัน ชี้การติดกล้องรถยนต์ยังต้องใช้ช่าง เดินหน้าขยายไลน์สินค้า ปีนี้วางเป้าสู่ 30-40 สาขา 3 ปีแตะ 300 สาขาทั่วประเทศ ด้าน IoT เริ่มทำเงินแล้ว GPS โตดี ลุ้นบังคับ 6 ล้อติด GPS เป้าปีนี้สู่ 1.1 พันล้านบาท (ที่มา ทันหุ้น)
(+) EKH (Bloomberg consensus 9.76 บาท) เผยเปิดศักราชใหม่ปี 2567 จำนวนคนไข้พุ่งแตะ 70% จากโดยปกติแล้วเดือนมกราคมจะเป็นช่วงโลว์ซีซัน ตั้งเอเจนซีใหม่ดึงกลุ่มลูกค้าจีนเข้าใช้บริการ IVF วางงบลงทุน 200 ล้านบาท ก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่จำนวน 60 เตียง และรีโนเวตโรงพยาบาลเดิม (ที่มา ทันหุ้น)