วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ BGRIM Margin จะเพิ่มขึ้นต่อในปี 2567F
เรามองบวกมากขึ้นอย่างระมัดระวังกับแนวโน้มของ SPP โดยเราเชื่อว่าวัฏจักรของการปรับลดกำไรน่าจะจบรอบไปแล้ว จากราคาก๊าซที่อยู่ในขาลง และความเสี่ยงที่ลดลงเกี่ยวกับเรื่องอัตราค่าไฟฟ้า
เรามองว่าการเปลี่ยนแปลงเชิง โครงสร้างราคาก๊าซควบคู่ไปกับการปรับลดค่าไฟลง (จากที่ก่อนหน้านี้ปรับลดค่าไฟอย่างเดียว) ถือเป็น สัญญาณบวกต่อ margin ของ SPP เราได้จัด conference call ให้ผู้จัดการกองทุนได้คุยกับคุณคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ กกพ. โดยทาง กกพ. คาดว่าค่าไฟฟ้าจะอยู่ในช่วง 4.20-4.25 บาท/kWh ในปี 2567F (จาก 4.67 บาทในปี 2566) โดยต้นทุนพลังงานที่ลดลง และอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งก๊าซในประเทศน่าจะช่วยหนุนให้ margin ของ SPP มีเสถียรภาพดีขึ้น ทั้งนี้ ประมาณ 10% ของรายได้จากธุรกิจหลักของ BGRIM มาจากไฟฟ้าที่ขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม
ปรับเพิ่มกำไรหลักปี 2567-68F ขึ้น 28-36%
เราปรับเพิ่มกำไรเพื่อสะท้อนถึงค่า Ft ที่เพิ่มขึ้นและราคาก๊าซลดลง (Figure 2) โดยเราใช้กำหนดให้ค่า Ft อยู่ที่ 0.40 / 0.30 บาท ต่อ kWh (จาก 0.89 บาท/kWh ในปี 2566F)ในขณะที่คาดว่าราคาก๊าซ SPP จะอยู่ที่ 350 / 345 บาท ต่อ mmbtu (จาก 390/mmbtu ในปี 2566F) ซึ่งประมาณการใหม่ กำไรหลักในปี 2567F จะเพิ่มขึ้น 8% YoY และในปี 2568F จะเพิ่มขึ้น 2% YoY เนื่องจาก margin ดีขึ้น, เชื่อมกำลังการผลิตใหม่ 50-60MW กับ IUs, และรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีจากBGPAT 2-3 (กำลังการผลิตโรงละ 98MWe)
กำไรใน 1Q67F มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น QoQ คือปัจจัยฤดูกาล (SG&A ลดลง, อุปสงค์สูงขึ้น) และ margin ที่เพิ่มขึ้น ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะเป็นเพราะ margin ของ SPPs เพิ่มขึ้น โดยค่า Ft ที่เพิ่มขึ้นเป็น 0.40 บาท/kWh (+Bt0.19 QoQ) จะมีน้ำหนักกว่าราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้นเป็นราว 365 บาท/mmbtu (+25 บาท QoQ)
ประมาณการ 4Q66F
เบื้องต้นเราคาดว่ากำไร BGRIM ใน 4Q66F จะอยู่ในช่วง 300-350 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงของ SPPs, อุปสงค์การใช้ไฟฟ้าลดลง และการปิดซ่อมบำรุง เราคาดว่าค่า Ft เฉลี่ยจะลดอยู่ที่ 0.20 บาท (-0.47 บาท QoQ) ขณะที่ราคาก๊าซ SPP จะทรงตัวอยู่ที่ 330 บาท/mmbtu (305 บาท+margin)
Valuation & Action
เรายังแนะนำ ขาย ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 26 บาท จากเดิม 23 บาท สะท้อนการปรับเพิ่มกำไร เรามองว่า valuation ค่อนข้างตึง โดยมี P/E ปี 2567-68F อยู่ที่ 33.5x / 32.8x ระยะสั้นหุ้นจะได้แรงหนุนจาก bond yields และราคาพลังงานที่พลังงานลดลง นอกเหนือไปจากวัฎจักรการปรับลดกำไรที่น่าจะจบลง
Risks
ปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, เกิดปัญหา cost overruns, และความผันผวนของ FX และอัตราดอกเบี้ย