วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ลงตามตลาดโลก
วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ หลังศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมากรับคำร้อง 40 สว. เรื่องการถอดถอน “เศรษฐา” แต่ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับผลดีจาก การประกาศงบ NVDIA ออกมาดีกว่าคาด
มีแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมัน WTI ยังคงปรับตัวลง ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,367.84 จุด -2.99 จุด -0.22% มูลค่าการซื้อขาย 46,236.17 ลบ. Program Trading -491.90 ลบ. ต่างชาติ -1,014.36 ลบ. TFEX -15,962 สัญญา ตราสารหนี้ -458.60 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ สถาบันวิจัยตลาด GfK เปิดเผยผลสำรวจ โดยระบุว่า ดัชนี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพ.ค.อยู่ที่ -17 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2564 โดยเพิ่มขึ้น 2 จุดจากระดับของเดือนเม.ย. และสูงกว่าโพลล์ของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ที่ -18
+ สนค. เปิดเผยว่าการส่งออกเดือน เม.ย.67 มีมูลค่า 23,278.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.8% กลับเป็นบวกอีกครั้ง หลังจากเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ติดลบ 10.9% เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน 4M67 ส่งออกเพิ่มขึ้น 1.4%
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 605.78 จุด หรือ -1.53% นักลงทุนกังวลว่า FED อาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงนานกว่าคาดหลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังน่ากังวล บดบังปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia)
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 70 เซนต์ หรือ -0.9% ปิดที่ 76.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดลบติดต่อกันวันที่ 4 กังวลว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน
- สหรัฐรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค.พุ่งขึ้นสู่ระดับ 54.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 25 เดือนจากระดับ 51.3 ในเดือนเม.ย.ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐ
-กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 215,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 220,000 ราย
- FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 52.2% ที่FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย. ลดลงจาก 67% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
- จีนซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหนึ่งปีรอบเกาะไต้หวัน หลังจากที่นายไล่ ชิงเต๋อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันคนใหม่ โดยกองทัพไต้หวันกระจายกำลังทหารรอบเกาะไต้หวัน พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถปกป้องเกาะไต้หวันเอาไว้ได้
- REIC เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลใน 1Q67 มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 39.2 ลดลงเมื่อเทียบกับ 4Q66 ที่มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 44.5 และเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 สะท้อนความเชื่อมั่นในระดับต่ำ
- ส.อ.ท. เปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์ทั้งหมดเดือน เม.ย.67 มีทั้งสิ้น 104,667 คัน ลดลง 11.02% โดยการผลิตรถยนต์นั่ง ลดลง 5.03% และรถกระบะเพื่อขายในประเทศ ลดลง 45.94% เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก โดยมีแรงกดดันจากนักลงทุนกังวลว่าเฟด อาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน กรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,360-1,375 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• Digital Wallet : CPALL BJC CRC DOHOME GLOBAL HMPRO
• ไมโครซอฟท์ ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ : INSET SYMC INET ITEL TKC
• MSCI Rebalance มีผล 31 พ.ค. : Global Standard หุ้นเข้า – หุ้นออก BTS LH MTC Global Small Cap หุ้นเข้า BTS, JTS, LH, MTC หุ้นออก BLAND, DITTO, FORTH, KSL, MAJOR, PSL, RS, SGP, SPCG, WHAUP
• ราคาคริปโตปรับตัวขึ้น : JTS ZIGA BROOK TTA XPG
• สินค้าส่งออกเดือน เม.ย. เติบโตดี : AAI ITC STA NER TRUBB XO TFG BTG
หุ้นรายงานพิเศษ
CPALL - ซื้อ (Bloomberg Consensus 76.00 บาท)
"งวด 1Q67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 6,319 ล้านบาท +53%YoY, +15%QoQ"
• งวด 1Q67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 6,319 ลบ. +53%YoY, +15%QoQ โดยมีรายได้รวม 241,307 ลบ. +9%YoY ทรงตัว QoQ เติบโตจากทุกกลุ่มธุรกิจ ตามการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัว รวมถึงได้ประโยชน์จากมาตรการ Easy E-Receipt ธุรกิจ ร้านค้าสะดวกซื้อ (CVS) มี SSSG เติบโต 4.9%YoY มีอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ระดับ 22.3% ทรงตัว QoQ ปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY จากระดับ 21.7% ในงวด 1Q66 จากสัดส่วนยอดขายกลุ่มสินค้า Ready to Eat ,Personal Care ที่มี Margin สูงเพิ่มขึ้น ในขณะที่ยอดขายของบุหรี่ ที่มี Margin ต่าลดลง ในงวด 1Q67 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 185 สาขา สิ้นงวด 1Q67 มีสาขารวม 14,730 สาขา
•ปี 2567 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในระดับใกล้เคียงกับการเติบโตของ GDP ซึ่งจากค่าเฉลี่ยของตลาดที่เติบโตราว 2.6% โดยบริษัทวางแผนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 700 สาขา และมีเป้าหมายในการเปิดสาขาเพิ่มในประเทศกัมพูชา และในสปป.ลาว สำหรับประมาณการ %GPM บริษัทตั้งเป้าการขยายตัวของอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากปีก่อนหน้า โดยเพิ่มยอดขายสินค้าที่มี margin สูง
•ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อผลการดาเนินงานงวด 1Q67 ที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงมุมมองบวกต่อผลการดาเนินงานทั้งปี 67 จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดการณ์จานวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว เป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการ โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์กาไรปี 67 เฉลี่ย 22,062 ลบ. +19%YoY กาไรในงวด 1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 29% ของประมาณการทั้งปี โดยมีราคาเหมาะสม Consensus 76.00 บาท เราจึงแนะนา “ซื้อ”
หุ้นมีข่าว
(+) OR (Bloomberg consensus 20.60 บาท) รับอานิสงส์ท่องเที่ยว-เดินทาง ดันผลงานไตรมาส 2/2567 ดีต่อเนื่อง ชูค่าการตลาด 0.70-1.20 บาทต่อลิตร มองราคาน้ำมันที่ 80-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล พร้อมวางงบ 2.3 หมื่นล้านบาท เดินหน้าขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์ อยู่ระหว่างทำ Due Diligence หลายราย แย้มธุรกิจความงามและสุขภาพ เตรียมเปิดสาขาแรกไตรมาส 3/2567 (ที่มา ทันหุ้น)
(+) BLC (Bloomberg consensus - บาท) ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมยาในไทยเติบโตต่อเนื่อง จากเทรนด์ด้านสุขภาพ สังคม ผู้สูงอายุ และความเสี่ยงจากมลภาวะ หนุนจำนวนร้านขายยาและยอดขายขยายตัว เล็งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และสื่อสารการตลาดเชิงรุก ผลักดันเป้ารายได้จากช่องทางร้านขายยาโต 20-25% (ที่มา ทันหุ้น)
(+) EKH (Bloomberg consensus 9.25 บาท) ส่งซิกผลงานไตรมาส 2 เติบโตแข็งแกร่งกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแนวโน้มผู้ป่วย OPD และ IPD เข้ารับบริการรักษาพยาบาลศูนย์บริการทางการแพทย์ทั่วไปเพิ่มขึ้นรวมถึงได้แรงหนุนจากศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) และ รพ.คูน รุกขยายลงทุนธุรกิจด้านสุขภาพเพื่อต่อยอดธุรกิจหลักและเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ในอนาคต ลั่นผลงานปีนี้เติบโต ไม่ต่ำกว่า 7% (ที่มา ทันหุ้น)
(+) NEX (Bloomberg consensus - บาท) จับมือ DAYUN ร่วมผลิตและจัดจำหน่ายรถ Mini SUV แต่เพียงผู้เดียวของประเทศไทย มีเป้าหมายราคาต่ำกว่า 490,000 บาท มุ่งเน้นกลุ่ม ECO Car ซึ่งมีรถจดทะเบียนใหม่ปีละประมาณ 100,000 คัน คาดจะสามารถนำเข้ามาจัดจำหน่ายได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ (ที่มา ทันหุ้น)