วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ลุ้นทดสอบ 1300 จุด

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ลุ้นทดสอบ 1300 จุด

วันพุธที่ผ่านมาตลาดเคลื่อนไหวในแดนบวก ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ จากประธานเฟดให้ความเห็นในงานเสวนาที่ธนาคารกลางยุโรปจัดขึ้น บ่งชี้ว่าเป้าเงินเฟ้อมีความคืบหน้ามากขึ้น หนุนโอกาสเฟดลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน

โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกลอีกครั้ง วันที่ 17 ก.ค. มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,294.70 จุด +6.12 จุด +0.47% มูลค่าการซื้อขาย 27,594.93 ลบ. Program Trading +715.74 ลบ. ต่างชาติ +1,318.83 ลบ. TFEX +45,766 สัญญา ตราสารหนี้ -3,587.91 ลบ.

ปัจจัยบวก    

+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ +1.28% ปิดที่ 87.34 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด อย่างไรก็ดี ตลาดถูกกดดันในระหว่างวันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันทั่วโลก ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางก่อนที่จะถึงวันหยุดเนื่องในวันชาติสหรัฐ
+ ADP เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 150,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 160,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 157,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.
+ ISM เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 48.8 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 จากระดับ 53.8 ในเดือนพ.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.5 โดยได้รับผลกระทบจากการลดลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน
+ LSEG FedWatch บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 70% ที่เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.
+ เฟด สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.5% ในไตรมาส 2/2567
+/- กกร.แสดงจุดยืนคัดค้านการปรับขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ถ้ายืนยันปรับขึ้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้จะได้เห็นสัญญาณอันตราย ที่รุนแรง โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเอสเอ็มอี อาจได้เห็นการปิดตัวเพิ่มขึ้น

ปัจจัยลบ 

 

 

- ดัชนีดาวโจนส์ปิด ลดลง 23.85 จุด หรือ -0.06% โดยถูกกดดันจาก การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ดีดตัวขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.
- ดัชนีผู้จัดการฝุายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2565 จากระดับ 54.8 ในเดือนพ.ค.
- สหรัฐประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทอีก 6 แห่งในรายชื่อบริษัทที่ต้องเผชิญข้อจำกัดทางการค้า โดยบริษัท 4 แห่งในจำนวนนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับ การฝึกทหารจีน
- สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ยุโรปว่า บริษัทจีนและรัสเซียกำลังพัฒนาโดรนจู่โจมที่คล้ายคลึงกับของอิหร่านที่ถูกใช้ในยูเครน นับเป็นสัญญาณว่าจีนอาจเริ่มถึงขั้นให้ความช่วยเหลือในระดับที่เป็นอันตรายร้ายแรงซึ่งบรรดาเจ้าหน้าที่จากชาติตะวันตกต่อต้าน
- เวิลด์แบงก์ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 2.4% จากประมาณการครั้งก่อน 2.8% โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวต่อเนื่อง การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก และในปี 68 คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวได้ 2.8% จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ตามงบประมาณปี 68

แนวโน้มตลาดวันนี้     

คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาส Rebound ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ โดยมีแรงหนุนจากข้อมูลที่ชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนการคาดการณ์ที่ว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย คาดกรอบดัชนีวันนี้ที่ 1,285-1,300 จุด

 

 

 

กลยุทธ์การลงทุน    

• สินค้าส่งออกเดือน พ.ค. เติบโตดี : HANA KCE CCET AAI ITC STA NER
• หุ้น ESG Rating เด่น (AAA) : ADVANC BANPU CPF PTTGC SCC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุน DATA CENTER และ CLOUD SERVICE : GULF ADVANC TRUE INSET ITEL
• หุ้นเด่น IAA : ADVANC AOT CPALL MINT TU

หุ้นรายงานพิเศษ  

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ลุ้นทดสอบ 1300 จุด

•หุ้นธนาคารรวม 11 แห่งมียอดสินเชื่อคงค้าง ณ ปลายเดือน พ.ค. 67 รวม 13.1 ล้านล้านบาท ลดลง 0.3%YTD จากการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อและบัตรเครดิตจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้น

•Bloomberg Consensus คาดหุ้นธนาคารที่มีกำไร YoY ได้แก่ KBANK (+8%YoY -12%QoQ), KTB (+5%YoY -3%QoQ) และ TTB (+17%YoY, 0%QoQ) ทั้งนี้หุ้นที่คาดจะมีกำไรลดลงทั้ง YoY, QoQ ได้แก่ BBL (-8%YoY -1%QoQ), KKP (-20%YoY -25%QoQ) และ SCB (-12%YoY -7%QoQ)

•ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารเป็น Neutral แนะนำ “ซื้อ” BBL , KBANK,KTB และ TTB ส่วน TISCO แนะนำ “ถือรอรับเงินปันผล”

หุ้นมีข่าว

(+) SUSCO (Bloomberg consensus 4.10 บาท) เผยค่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ดีเดย์วันนี้ (4 ก.ค.) เปิดโรงงานผลิตอย่างเป็นทางการที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จ.ระยอง ในฐานะที่บริษัทเป็น ดีลเลอร์ จำหน่ายแบรนด์ดังกล่าว ชี้กระแสตอบรับดีแม้จะมีการลดราคาก็ไม่กระทบต่อดีลเลอร์ แถมมองราคาลง สินเชื่ออนุมัติง่ายขึ้น ส่วนความต้องการรถอีวียังมีต่อเนื่อง หวังครึ่งปีหลัง 2567 เศรษฐกิจฟื้นตัว กระตุ้นยอดเพิ่ม ด้านปริมาณขายน้้ามันเติบโต ปีนี้คงเป้ารายได้ที่ 10% (ที่มา ทันหุ้น)

(+) CHAYO (Bloomberg Consensus 4.20 บาท) บอสใหญ่ "สุขสันต์ ยศะสินธุ์" เผยครึ่งปีหลังเตรียมลุยซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่ม ทั้งปีหนี้เสียใหม่แตะ 10,000 ล้านบาท ตามเป้ามั่นใจรายได้โต 20% ด้านธุรกิจปล่อยสินเชื่อเน้นคัดกรองลูกหนี้ พร้อมชี้แจงเลื่อนแผน นำบริษัทย่อย CCAP เข้าเทรดปลายปี 2567 เหตุขอประเมินภาวะตลาดก่อนเพื่อความเหมาะสม (ที่มา ทันหุ้น)

(+) BTG (Bloomberg consensus 25.75 บาท) เดินหน้าสร้างรากฐานความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคอาเซียน ทุ่มงบลงทุน 650 ล้านบาท สร้างโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกที่ สปป.ลาว กำลังผลิต 108,000 ตันต่อปี ขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์อาหารสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ คาดดันรายได้ธุรกิจต่างประเทศปี 2567 โตกว่า 22% (ที่มา ทันหุ้น)

(+) BIZ (Bloomberg Consensus - บาท) ลงนามในสัญญาซื้อขายเครื่องฉายรังสี ให้กับโรงพยาบาล 2 แห่ง มูลค่ารวม 520 ล้านบาท แย้มข่าวดีลุ้นเปิดซองงานประมูลเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งเพิ่ม ในช่วงครึ่งปีหลัง ทางด้านผู้บริหาร "สมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์" ระบุกอด Backlog แน่นกว่า 900 ล้านบาท พร้อมลุยประมูลงานอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1,000 ล้านบาท ดันรายได้ ปี 2567 โตเกิน 10% ตามนัด (ที่มา ทันหุ้น)