วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ภาพรวมตลาดอาจไม่ได้ไปไหนไกล แต่โมเมนตัมเก็งกำไรยังเป็นบวก
ภาพรวมสหรัฐฯ ยังเป็นการหมุนออกจากหุ้นเทคโนโลยีไปยังหุ้นอื่นๆ DJIA (-1.29%), S&P500 (-0.78%), Nasdaq (-0.70%) ขณะที่ดัชนีกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ (Philadelphia Semiconductor Indec: SOX) ปรับลดลง -5.87%
ขณะที่ดัชนีหุ้นเล็ก (Russel 2000) ปรับขึ้น +2.33% ภาพรวมเงินทุนยังไหลออกจากกลุ่มเทคโนโลยี (ทั้งจากแรงำกำไร และกังวลการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น เกี่ยวกับการขายไปยังจีน) และไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ยังปรับขึ้นน้อย โดยเฉพาะหุ้นกลาง-เล็ก และหุ้นที่ตลาดประเมินว่าอาจได้ผลบวกจากการกลับสู่ตำแหน่งประธานาธิปดีสมัยที่ 2 ของทรัมป์ ทั้งนี้ผลประอบการที่จะประกาศออกมาจะเป็นปัจัจยสำคัญที่กำหนดโทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังโมเมนตัมเศรษฐกิจที่ชะลอทำให้คนมั่นใจในเรื่องทิศทางดอกเบี้ย แต่อาจกังวลใจมุมมองเศรษฐกิจและผลประกอบการ ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มถูกลดน้ำหนัก แม้รายงานผลประกอบการออกมาดี (อาทิ TSMC)
งบ BBL ออกมาดี แบบมีเงื่อนไข BBL รายงานกำไร 11.8 พันล้านบาท +12% QoQ, +5% YoY ดีกว่าคาดการณ์ของเราและตลาดที่ +6% และ +10% สาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากกำไรจากการลงทุนที่เพิ่มเป็น 2.4 พันล้านบาทในไตรมาสนี้ เทียบกับเพียง 82 ล้านบาทในไตรมาสก่อน ขณะที่หนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นเป็น 3.2% จาก 3.0% กำไรที่ดีคาดมาจากผลมาจากผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับลง และอาจชะลอตัวลงในไตรมาสหน้า อย่างไรก็ตามระยะสั้นเป็นบวกต่องบธนาคารใหญ่อื่นๆ
กลุ่มอาหาร สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ เป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงนี้ กลุ่มอาหารโดยรวมยังมีโมเมนตัมของการปรับประมาณการกำไรเชิงบวก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเนื้อสัตว์ทั้งไก่และหมู ขณะที่ สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ มีแนวโน้มรายงานผลประกอบการเชิงบวกและได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะบวกทั้งต่อต้นทุนการเงินและ Valuation โดยหุ้นที่เราชอบได้แก่ ADVANC, TRUE, SAMART, SYNEX, RATCH, EGCO, GULFm GUNKUL, 3BBIF, WHART, FTREIT / สำหรับ JAS การปรับขึ้นช่วงสั้นมาจาก free float ที่ลดลงจากการที่นักลงทุนนำหุ้นไปเสนอขายในการซื้อหุ้นคืน
ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัว ช่วงสั้นหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากลดดอกเบี้ยและมีกระแสเงินสดมั่นคง อาทิ สื่อสาร, ไฟฟ้า, รีทส์ น่าสนใจ รวมไปถึงงบดีอย่างกลุ่มอาหาร
แนวรับ: 1,310-1,316 / แนวต้าน : 1,330-1,340 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6% ตัดขาดทุน 27 บาท
• BTG* (27) : ผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัวจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ตามราคาหมูที่ฟื้นตัว และคาดได้ประโยชน์จากนโยบายหระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ตัดขาดทุน 22.50 บาท
• 3BBIF* (6.50) : กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้ประโยชน์ด้าน Valuation จากดอกเบี้ยขาลง ขณะที่การปรับโครงสร้างในกลุ่มของ GULF-INTUCH เป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อการมีสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองเพิ่มเติม ตัดขาดทุน 5.35 บาท
• CPN* (66) : ผลประกอบการปีนี้แข็งแกร่ง ราคาซื้อขายที่ระดับ PER 16x ซึ่งเป็นกรอบต่ำในระดับ 20 ปี และมองเป็นจุดซื้อที่ดี ตัดขาดทุน 3.40 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ECB มีมติตรึงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25% ตามคาด
- คลังเตรียมชง Thai ESG เข้าครม. สัปดาห์หน้า
- ThaiBev ขายเฟร์เซอร์ส ธุรกิจอสังหาฯ ให้ ทีซีซี โฮลดิ้งส์
- TSMC เผยกำไรไตรมาส 2 แตะ 7.59 พันล้านดอลลาร์ ขานรับดีมานด์ชิป AI พุ่ง
- COCOCO ทุ่ม 280 ล้านบาท ขยายการผลิตกลุ่ม Beverage with pulp คาดเริ่มเดินเครื่อง Q2/68
- BBL ไตรมาส 2/67กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1.18 หมื่นลบ.
- 5 อันดับแรกมูลค่าขายชอร์ตมากสุด GULF-R, DELTA-R, BBL, ADVANC, BBL-R
- 5 อันดับแรก มูลค่า Short Covering HANA, HANA-R, TOP, TOP-R, TISCO
- BBL คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 168.00 บาท
- CENTEL ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 46.00 บาท
- MAJOR คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 18.00 บาท
- ORI คงคำแนะนำ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 6.20 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
24 ก.ค. – ศาลฯ นัดพิจารณาคดีถอดถอนนายกฯ