วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เข้าสู่ช่วงฤดูประกาศผลประกอบการเต็มตัว

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เข้าสู่ช่วงฤดูประกาศผลประกอบการเต็มตัว

ปัจจัยสำคัญในระยะสั้นของตลาดสหรัฐฯ ยังอยู่ที่ผลประกอบการ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจถอนตัวจากการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้ และสนับสนุนรองประธานาธิบดี กมลา แฮริส เป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตแทน

ปัจจัยการเมืองหนุนนักลงทุนมองธีมลงทุนระยะกลางที่การกลับมาของทรัมป์ (Trumph 2.0) ซึ่งจะบวกต่อกลุ่มพลังงาน, การเงิน, สาธารณูปโภค และกลุ่มป้องกันประเทศ ขณะที่ในระยะสั้นตลาดรอติดตามการประชุมเฟด 31 ก.ค. ทั้งนี้เราประเมินตลาดรับรู้เรื่องการลดดอกเบี้ยไปแล้ว ทำให้โฟกัสจะอยู่ที่การติดตามตัวเลขเศรษฐกิจรวมถึงผลประกอบการเพื่อให้มั่นใจว่าการลดดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น จะไม่ตามมาด้วยการถดถอยทางเศรษฐกิจ ผลประกอบการบจ.ขนาดใหญ่ที่ควรจับตา ได้แก่ GOOG (23 ก.ค.), TSLA (23 ก.ค), MSFT (30 ก.ค), META (31 ก.ค), AMZN (1 ส.ค), AAPL (1 ส.ค)

ปัจจัยติดตามสำหรับหุ้นไทย ระยะสั้นไม่มีปัจจัยผลักดันที่ชัดเจน ทำให้ตลาดอาจเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ ได้แก่ 1) ธนาคารกลางจีนลดดอกเบี้ย เงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี ลงเหลือ 3.35% (จาก 3.45%) และ 3.85% (จาก 3.95%) 2) ครม.พิจารณาข้อเสนอปรับเงื่อนไข Thailand ESG Fund และอาจพิจารณาเรื่องกองทุนวายุภักษ์ รอบใหม่ 3) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องถอดถอนนายกฯ โดย 40 สว. (24 ก.ค.) 4) รัฐบาลแถลงสรุปโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (24 ก.ค.) 5) ผลประกอบการกลุ่มธนาคาร ยังแสดงถึงความเสี่ยงของการตั้งสำรอง กดดันต่อกลุ่มการเงิน

กลุ่มอาหาร สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ เป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงนี้ กลุ่มอาหารโดยรวมยังมีโมเมนตัมของการปรับประมาณการกำไรเชิงบวก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเนื้อสัตว์ทั้งไก่และหมู ขณะที่ สื่อสาร ไฟฟ้า รีทส์ มีแนวโน้มรายงานผลประกอบการเชิงบวกและได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะบวกทั้งต่อต้นทุนการเงินและ Valuation โดยหุ้นที่เราชอบได้แก่ ADVANC, TRUE, SAMART, SYNEX, RATCH, EGCO, GULF, GUNKUL, 3BBIF, WHART, FTREIT / สำหรับ JAS การปรับขึ้นช่วงสั้นมาจาก free float ที่ลดลงจากการที่นักลงทุนนำหุ้นไปเสนอขายในการซื้อหุ้นคืน (สิ้นสุดการซื้อคืน 23 ก.ค.)


 

ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัว ช่วงสั้นหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากลดดอกเบี้ยและมีกระแสเงินสดมั่นคง อาทิ สื่อสาร, ไฟฟ้า, รีทส์ น่าสนใจ รวมไปถึงงบดีอย่างกลุ่มอาหาร หากจะรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัว SET ไม่ควรหลุด 1,310 จุดลงไป (หากต่ำกว่า ชะลอการเก็งกำไรสั้น)    

แนวรับ: 1,310 / แนวต้าน : 1,330-1,340 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6%  ตัดขาดทุน 27 บาท 

•    BTG* (27) : ผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัวจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ตามราคาหมูที่ฟื้นตัว และคาดได้ประโยชน์จากนโยบายหระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล  ตัดขาดทุน 22.50 บาท 

•    3BBIF* (6.50) : กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้ประโยชน์ด้าน Valuation จากดอกเบี้ยขาลง ขณะที่การปรับโครงสร้างในกลุ่มของ GULF-INTUCH เป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อการมีสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองเพิ่มเติม ตัดขาดทุน 5.35 บาท

•    CPN* (66) : ผลประกอบการปีนี้แข็งแกร่ง ราคาซื้อขายที่ระดับ PER 16x ซึ่งเป็นกรอบต่ำในระดับ 20 ปี และมองเป็นจุดซื้อที่ดี ตัดขาดทุน 3.40 บาท  

 

 

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    “โจ ไบเดน” ถอนตัว ส่งไม้ต่อ “คามาลา แฮร์ริส” ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
-    รมว.พลังงาน ถกประธาน กกพ.-ผู้ว่า กฟผ.-ปตท. ยืนยันตรึง ค่าไฟ งวดใหม่ที่ 4.18 บาท
-    กระทรวงการคลัง เปิดตัว โครงการ Ignite Finance ขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางการเงินระดับโลก
-    “ภูมิธรรม” เผยเตรียมเปิดให้ ร้านค้า เริ่มลงทะเบียน “ดิจิทัลวอลเล็ต” 1 ส.ค.67 
-    KTC กำไรครึ่งปี -1.3% ตัดหนี้สูญ-ตั้งสำรองสูงขึ้น รับพิษเศรษฐกิจชะลอ-หนี้ครัวเรือนกดดัน
-    KBANK คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 162.00 บาท 
-    KTB ปรับลดคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 20.50 บาท 
-    SCB คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 20.00 บาท 
-    TTB คงคำแนะนำ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 1.92 บาท

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

24 ก.ค. – ศาลฯ นัดพิจารณาคดีถอดถอนนายกฯ