วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยผันผวนระยะสั้น แต่มองเป็นโอกาสเข้าลงทุน
คาดตลาดหุ้นไทยผันผวนระยะสั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเป็นการชนะทั้งสภาล่างและสภาบน (Red Sweep) เรามองผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ดังนี้
ระยะสั้นคาดเงินลงทุนจะไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากนโยบายของโดนัลด์ทรัมป์ที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ การไม่ปรับขึ้น Corporate Tax เป็นต้น ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ปรับดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามในระยะยาวเรายังเชื่อว่า Fed จะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ออีกอย่างน้อย 100bps. ในปี 68 อันจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น และเงินลงทุนมีโอกาสไหลกลับมายังตลาดหุ้นไทยได้ สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ มีดังนี้ กลุ่มที่จะได้ประโยชน์ คือ 1) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA), 2) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA), และ 3) กลุ่มเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหิน (BANPU) ส่วนกลุ่มที่คาดจะเสียประโยชน์ ได้แก่ 1) กลุ่มปิโตรเคมี และ 2) กลุ่มบรรจุภัณฑ์ จากการขึ้นภาษีการนำเข้าจากจีน
กระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน คาดตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนในเดือน พ.ย. เราแนะนำ กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนเป็น 2 ส่วน 1) หุ้นที่อยู่ในโมเมนตัมขาขึ้นและมีแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเรามองว่าเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA, AMATA) และ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) โดยทั้งสองกลุ่มจะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน เรามองว่ามีโอกาสเห็นการเก็งกำไรหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ 2) หุ้น Laggard ที่มีโมเมนตัมของกำไรที่แข็งแกร่ง ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, RATCH, EGCO) ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT,ERW,VRANDA) ที่ราคาได้รับรู้ปัจจัยลบไปมาก
แนวรับถัดไป 1,430 ระยะกลางตลาดยังอยู่ในภาพของการพักฐานบริเวณ 1,430-1,450 จุด ภาพใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ในขณะที่บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นภาพของการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง ตามกลุ่มที่มีการทยอยประกาศผลประกอบการ 3Q67 หุ้นหลายตัวมีการปรับฐานตามเล็กน้อยจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ระยะกลางมองแนวรับที่ 1,430 จุด
ภาพรวมกลยุทธ์ “กรอบการเก็งกำไร 1,430-1,500 จุด เลือกเก็งกำไรรายตัว สะสมหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างท่องเที่ยว การแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA, BCH, BDMS 2) หุ้นได้ประโยชน์การ Relocation : WHA,TRUE, INSET, ITEL, MFEC, AIT, ICN, LTS 3) หุ้นต่ำมูลค่าทางบัญชี FLOYD, IND, BC
แนวรับ: 1,430 แนวต้าน : 1,500 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• ADVANC* (310) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น yoy หนุนจากธุรกิจ FBB และคาดจะมี catalyst ใหม่ หลัง GULF เข้ามาถือหุ้นโดยตรง ตัดขาดทุน 268 บาท
• HMPRO* (11) : คาด SSSG จะเริ่มฟื้นตัวได้ใน 4Q68 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการใช้จ่ายในประเทศ ตัดขาดทุน 9.25
• SISB* (42) : คาดกำไรสุทธิ 3Q67จะเพิ่มขึ้นเด่นจากการเปิดเทอมใหม่ของโรงเรียน และจำนวนนักเรียนที่ยังคงระดับสูง ตัดขาดทุน 32.75 บาท
• WHA* (6.50) : คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 เติบโตเด่น yoy จากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง ตัดขาดทุน 5.60 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ราคาน้ำมัน WTI ร่วง หลังสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มมากกว่าคาด
- บอนด์ยีลด์พุ่งทะลุ 4.4% รับข่าว "ทรัมป์" คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
- TU อวดกำไร Q3/67 โต 4.4% อัตรากำไรขั้นต้นแตะสูงสุดที่ 19.5% จากยอดขาย 3 กลุ่มธุรกิจแข็งแกร่ง
- BCPG และบ.ย่อย ไตรมาส 3/67 ขาดทุนสุทธิ 28.38 ลบ.
- PTTEP วางเป้าปริมาณขาย Q4/67 ที่ 5.2-5.3 แสนบาร์เรลฯ เตรียมประกาศแผนลงทุน 5 ปีกลางธ.ค.67
- PTTGC แนะนำ “ถือ” เป้า 24.50 บาท/ CK แนะนำ “ซื้อ” เป้า 26.50/ MINT แนะนำ “ซื้อ” เป้า 38 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
8 พ.ย. – Fed Interest Rate Decision