วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ลุ้นการฟื้นตัวจากโมเมนตัมที่ดูดีขึ้น

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ลุ้นการฟื้นตัวจากโมเมนตัมที่ดูดีขึ้น

ปัจจัยแวดล้อมเริ่มเป็นบวก วานนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง สำหรับวันนี้เราประเมินตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นได้ในระยะสั้นจาก Momentum เชิงบวกจากการกล่าวของคุณทักษิณในงาน Dinner Talk วานนี้

โดยปัจจัยสำคัญมี ดังนี้ 1) ความเชื่อมั่นของตลาดทุน จากปัญหาด้านการขาดความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุนในประเทศ และต่างประเทศ จากความกังวลด้าน Corporate Governance ในช่วงที่ผ่านมา โดยหน่วยงานต่างๆ ต้องมีความเข้มงวดมากขึ้นในการคัดกรองบริษัทต่างๆ ที่เข้ามายังตลาดหลักทรัพย์ และให้ ก.ล.ต. มีอำนาจในการตรวจสอบ และลงโทษมากขึ้น, 2) New Investment การดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ เพื่อสร้าง New Economy และ Know How ในไทย ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและการใช้ทรัพยากรในประเทศมากขึ้น รวมถึงโครงการใหม่ๆ ของรัฐบาล อาทิ Entertainment Complex ที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และ 3) ประเด็นอื่นๆ อาทิ การลดภาษีนิติบุคคล, ตั้งเป้ากระตุ้น GDP ไทย ให้เติบโตได้ 3%. 4% และ 5% ในปี 2568, 2569 และ 2570 ตามลำดับ     

เราประเมินบริเวณ 1,300-1,350 จุด เป็นบริเวณที่เริ่มน่าสะสม: แม้ตลาดหุ้นไทยจะยังดูมีความผันผวนจากปัจจัยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเราประเมินการปรับลดลงของ SET Index สู่บริเวณ 1,300 – 1,350 จุด เป็นจุดที่เรามองว่าควรเข้าสะสมจาก Valuation ที่จะซื้อ/ขายที่ P/E เพียง 13-13.6 เท่า ขณะที่ปัจจัยในประเทศเริ่มดูดีมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 1) ที่ประชุม ครม. ผ่านร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex แม้กระบวนการดำเนินโครงการจะยังต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร อย่างไรก็ตามมองเป็นการสะท้อน ความคืบหน้าของโครงการ และการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวส่งผลให้โครงการมีโอกาสเกิดได้สูงมากขึ้น, 2) ยอด BOI ปี 67 เพิ่มขึ้นสูงถึง 35% yoy หนุนจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Services ขณะที่ปี 68 คาดยอด BOI เติบโตต่อเนื่อง หนุนจากการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย การสงครามการค้า และ 3) การกล่าวของคุณทักษิณในงาน Dinner talk วานนี้ ซึ่งโทนโดยรวมค่อนข้างเป็นบวก
 

 


 

ภาพรวมกลยุทธ์ ยังยืนยันความผันผวนช่วงม.ค.เป็นโอกาสในการเลือกซื้อ โดยยังมองกลุ่ม Earnings momentum play ใน 4Q67-1Q68 มีความน่าสนใจ โดยเราชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เครื่องดื่มและเนื้อสัตว์) ขณะที่คาดธนาคาร และการเงิน จะเป็นกลุ่มช่วยประคองบรรยากาศโดยรวม 

แนวรับ: 1,320-1,350   แนวต้าน : 1,371-1,382 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    KTB (25) : คาดรายงานกำไรไตรมาส 4/67 ที่ 11,009 ล้านบาท -0.9% QoQ, +21.2% YoY คาดผลตอบแทนปันผลที่ 5% ตัดขาดทุน 20.80 บาท
•    CBG* (85): หากมีแล้ว โซนซื้อเพิ่มคือ 71-72 บาท ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง และการสร้างโรงงานที่พม่าบวกต่อการแย่งส่วนแบ่งการตลาด ตัดขาดทุน 70 บาท
•    BTG (21) : คาดกำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรยังปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 17.50 บาท
•    MEB* (27): ผลการดำเนินงานจะได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ High season  ใน 4Q67F และ Easy E-receipt ใน 1Q68 ราคาปัจจุบันซื้อขายเพียง 15x PER ตัดขาดทุน 20 บาท  
 

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    ทักษิณ โชว์ไอเดียดันเศรษฐกิจฟื้นตลาดหุ้น-เชียร์คริปโท โยนหินเปิดรับเงินสีเทาเข้าบช.แบงก์
-    นายกฯ เผยครม.เห็นชอบหลักการ Entertainment Complex 
-    ครม.ไฟเขียวมาตรการภาษีส่งเสริมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
-    ราคาน้ำมัน WTI ปรับขึ้น 3% จ่อทะลุ $79 ทำนิวไฮ 5 เดือน
-    ยอดลงทุนปี 67 พุ่ง 1.13 ล้านลบ. สูงสุดรอบ 10 ปี รับอานิสงส์ Data Center-Cloud Service แห่ลงทุน
-    BOI ตั้งเป้ายอดลงทุนปี 68 ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลบ. มุ่งสู่ Hub เทคโนโลยีขั้นสูงของภูมิภาค
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : กลุ่ม POWER คงน้ำหนัก OVERWEIGHT โดย Top picks ได้แก่ GULF และ RATCH

 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

15 ม.ค. – US Inflation (Dec)
16 ม.ค. – US Retail Sales (Dec)

 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ลุ้นการฟื้นตัวจากโมเมนตัมที่ดูดีขึ้น