“ท๊อป บิทคับ” มอง วิกฤต FTX ฉุดการพัฒนา"เทคโนโลยี" เผย ลูกค้ากระดานไทยไม่กระทบ
“ท๊อป บิทคับ” มอง วิกฤต FTX ฉุดการพัฒนา"เทคโนโลยี" ช้าลงถึง 2-3 ปี เผย ลูกค้ากระดานไทยไม่กระทบ มั่นใจความโปร่งใส"บิทคับ" ด้วยระบบ “ดอลลาร์ ทู ดอลลาร์” พร้อมมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิเสริมความปลอดภัย
“ท๊อป บิทคับ” หรือ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤต FTX ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่ตลาดคริปโทได้รับ
โดย “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อเกิดวิกฤตขึ้น จะทำให้รู้ว่า ใครกำลังแก้ผ้าอยู่” คล้ายกับวิกฤต Subprime ที่เกิดขึ้นในปี 2008 ทำให้วงการแบงกิ้งหยุดชะงัก ท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟน ทำให้อินโนเวชันหรือนวัฒตกรรมที่กำลังพัฒนาต้องหยุดชะงักและเกิดช่องว่างของเทคโนโลยีช้าถึง 2-3 ปี แต่วิกฤตสามารถคัดคนที่แข็งแกร่ง และอยู่รอดในตลาดได้
ฉุดการพัฒนาเทคโนโลยีช้าลง
เช่นเดียวกับในตลาด“คริปโทเคอร์เรนซี่” ที่จะกระทบวงการคริปโทชะงักไปช่วงหนึ่ง อาจฉุดการพัฒนาเทคโนโลยีช้าลง 2-3 ปี จากการที่เรกกูเรชั่น หรือผู้กำกับดูแล และคอมไพลแอนซ์ในประเทศมีความเข้มงวดมากขึ้น ดังนั้นทำให้ทุกบริษัทต้องแสดงออกถึงความโปร่งใสของกระบวนการทำงานในบริษัท
วิกฤต FTX ไม่กระทบลูกค้าไทย
สำหรับการที่หน่วยงานที่กำกับดูแลมีความเข้มงวดมากขึ้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสีย คือเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาเทคโนโลยี แต่สามารถให้ความคุ้มครองลูกค้าและนักลงทุนได้ แต่ก็ยังไม่สามารถคุ้มครองลูกค้าในตลาดต่างประเทศได้ ทำให้ในกรณีนี้ลูกค้าไทยที่ใช้แพลตฟอร์มต่างประเทศจะได้รับผลกระทบมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กระทบกับลูกค้าไทย รวมถึงลูกค้าของบิทคับ ที่มีความโปร่งใส “ดอลลาร์ ทู ดอลลาร์” และลูกค้าสามารถถอนเงินที่ฝากไว้ได้ตลอดเวลา ซึ่งบริษัทมี NCR หรือ อัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ เพื่อรองรับความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า