Maxbit ดันรายได้ ‘พีทีจี’ โต มุ่งสู่เบอร์ 2 โบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลไทย
‘แมกซ์บิท’ พร้อมดันรายได้ ‘พีทีจี’ โต ลุยต่อยอดฐานลูกค้าบัตร ‘พีที แมกซ์’ หนุนธุรกิจ ‘นอนออยล์’ เพื่อมุ่งสู่เบอร์ 2 นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย หวังชิง “มาร์เก็ตแชร์” เพิ่มขึ้นแตะ 10% ในปีนี้
ในปี 2567 คำนิยามของ “ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย” คงต้องถือว่า “ดุเดือด” เนื่องจากการแข่งขันในตลาดค่อนข้าง “ร้อนแรง” กว่าที่คาดคิดไว้ !! สะท้อนผ่านจำนวน “ผู้เล่น” ที่มีมากถึง 7-8 ราย แต่เชื่อว่าอนาคตตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยจะเติบโตขึ้นมาก ดังนั้น ด้วยขนาดของตลาดที่ใหญ่ขึ้นจะสามารถรองรับผู้เล่นทุกรายในตลาดให้เติบโตไปพร้อมๆ กันได้...
และหนึ่งในผู้เล่นที่พร้อมลงสนามแข่งขันในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเมืองไทยคือ บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด หรือ MAXBIT ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เข้าถือหุ้น 35% ร่วมกับ บริษัท ยูนิท จำกัด และ บริษัท สเปียร์เฮด แล็บส์ จำกัด
“เริ่มประกอบธุรกิจอย่างเป็นทางการแล้ว !” หลังเมื่อวันที่ 16 พ.ย.2566 ที่ผ่านมา “แมกซ์บิท” ได้รับใบอนุญาต (ไลเซนส์) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เริ่มประกอบธุรกิจได้แล้ว โดยบริษัทได้รับ “ไลเซนส์” ให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 2 ประเภท ได้แก่ “ประเภทนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) และ ประเภท “นายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล” (Digital Token)
“ปกเขตร รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด หรือ MAXBIT เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า การตัดสินใจลงสนามธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะมองเป็นธุรกิจสร้าง “รายได้-กำไร” ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดหวังปี 2567 “แมกซ์บิท” พร้อมจะก้าวสู่ “เบอร์ 2” ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ด้วยเป้าหมายมี “ส่วนแบ่งการตลาด” (มาร์เก็ตแชร์) เติบโตระดับ 9-10% ในไตรมาส 4 ปี 2567 และมี “ผู้ใช้งาน” บนแพลตฟอร์ม MAXBIT ในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับ 350,000 ราย !!
ขณะที่ แมกซ์บิทเป็นหนึ่งใน “กลุ่มพีทีจี” ที่วางเป้าหมายที่สามารถสร้างการเติบโตให้แก “พีทีจี” อย่างมีนัยสำคัญ ! ในการเข้ามา “ต่อยอด” ในธุรกิจใหม่ (New Business) ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-oil) ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของพีทีจี ซึ่งปัจจุบันเล็งเห็นโอกาสของการนำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมาต่อยอด “จุดแข็ง” ของ “พีทีจี” ในส่วนของฐาน “บัตรสมาชิก พีที แมกซ์” (PT MAX CARD) กว่า 21.5 ล้านสมาชิก รวมถึง Touchpoints กว่า 1.5 ล้าน และ Touchpoints ของ Max Me มาต่อยอดเป็นลูกค้าของ Maxbit โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มลูกค้าในช่วงวัยทำงาน และผู้ที่สนใจในด้านการลงทุน
“การลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทางกลุ่มพีทีจีมองการเติบโต และคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นสู่อันดับ 2 ในตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคงต้องจับตามองกันต่อไป เพราะหากเราประสบความสำเร็จ สิ่งที่เราพัฒนาขึ้นมานั้น เชื่อว่าจะเปลี่ยนวงการสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยได้จริงๆ รวมถึงจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กลุ่มพีทีจี จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากธุรกิจ Non-oil อย่างยั่งยืนต่อไป”
“ปกเขตร” เล่าต่อว่า หลังจาก MAXBIT เปิดบริการแบบ “กลุ่มย่อย” (Close beta) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในเดือนธ.ค.2566 ซึ่งเป็นเดือนแรกในการเปิด Close beta มีปริมาณการซื้อขายเพียงแค่ 5 ล้านบาท แต่โตขึ้นเป็น 240 ล้านบาทในเดือนก.พ. 2567 และได้เปิดธุรกิจเต็มตัวในเดือนมี.ค.2567 ซึ่งบริษัทยังไม่ได้บุกตลาดเต็มที่ แต่มีปริมาณการซื้อขายบนแพลตฟอร์มมากถึง 312 ล้านบาท ถือว่าเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 30% และในเดือนเม.ย. ในระยะเวลาเพียง 19 วันที่ผ่านมา บริษัทมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% จากเดือนก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณการซื้อขายในเดือนเม.ย.2567 ถึง 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221% จากเดือนก่อนหน้า
'แมกซ์บิท' เดินหน้าธุรกิจเต็มสูบ
สอดคล้องกับแผนธุรกิจของ “แมกซ์บิท” จึงเตรียมเดินหน้าเต็มที่ โดย “เป้าหมายแรก” คือ การเพิ่มสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเมืองไทย ที่มีปริมาณการซื้อขายต่อเดือนที่ประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทขอเพิ่มสัดส่วนในทุกๆ ไตรมาส สะท้อนผ่านไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทเพิ่มสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์มาได้ 0.5% แล้ว และคาดว่าในไตรมาส 2 ปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3% สู่ไตรมาส 3 ปี 2567 คือ 6% และในไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 9-10%
พร้อมกับมั่นใจว่าปริมาณการซื้อขายในเดือนเม.ย. จะขึ้นไปแตะ “ระดับ 1 พันล้านบาท” ซึ่งเป็นจุดที่แมกซ์บิทสามารถเลี้ยงตัวเองได้แบบไม่ขาดทุน และได้รับกำไร โดยไม่ต้องเพิ่มเงินลงทุน
Maxbit สแกนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย
หากเทียบตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลโลก พบว่า ลูกค้ารายย่อยยังไม่กลับมาอย่างเต็มที่จากจำนวนบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวในแต่ละเดือนเทียบกับจำนวนบัญชีทั้งหมดเกือบ 3 ล้านบัญชี
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน “แมกซ์บิท” มีสัดส่วนเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่มากกว่า 60% และเป็นรายย่อย 40% โดยสัดส่วนการเทรดเหรียญส่วนใหญ่คือ เหรียญสเตเบิลคอยน์ หรือ USTD ซึ่งบิตคอยน์คิดเป็นประมาณ 10% และคาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับจำนวนผู้ใช้งานที่มากขึ้น และในตอนนี้บนแมกซ์บิทมีเหรียญทั้งหมด 12 เหรียญ และมีแผนเพิ่มเหรียญทุกๆ เดือน ซึ่งเดือนละ 20 - 30 เหรียญ คาดจะทยอยเพิ่มเข้ากระดานเทรดในปลายเดือนเม.ย. จนมีทางเลือกให้ลูกค้ามาถึง 200-300 คู่เหรียญ พร้อมสร้างโปรโมชันเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งจะแตกต่างไปตามสภาพตลาด และความเข้มข้นของการแข่งขัน
รวมทั้ง แมกซ์บิทมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ พร้อมกับได้รับมาตรฐานระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ (ISO 27001) และอยู่ในระหว่างการขอ ISO 27701 เพิ่มเติม
Bitcoin Halving แต้มต่ออนาคตตลาดคริปโท
สำหรับ ในปีนี้ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ถือเป็นเรื่องแปลกเพราะปกติในช่วง 6-8 ปีที่ผ่านมา จะเป็นการทำ New High หลังฮาล์ฟวิ่งในมุมมองของ “ปกเขตร” มองว่าจะเป็นแต้มต่อในอนาคตที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มราคาบิตคอยน์ในอนาคต และทำให้นักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจ และเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น โดยแมกซ์บิทได้เตรียมรับมือหากมีปริมาณผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นให้สมัครเข้าใช้บริการได้อย่างราบรื่น
ทั้งนี้ การที่สถาบันการเงินเข้ามาเล่นในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้นอย่าง Black Rock หรือกองทุนเจ้าใหญ่ๆ ถือเป็น “ดาบสองคม” มีโอกาสที่ตลาดจะผันผวนมากขึ้นหรือน้อยลงก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ และมีโอกาสที่ตลาดขาขึ้นครั้งนี้อัตราการผันผวนอาจน้อยลงพร้อมกับพื้นฐานราคาที่สูงขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มเปี่ยมคือ การได้รับการยอมรับ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์