เฟดกำลังถึงทางแยกใหม่ ก่อนปี 2023 | บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
ในการแถลงผลการประชุม FOMC จากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เมื่อกลางดึกวันที่ 2 พ.ย. ตามเวลาในบ้านเรานั้น เจย์ พาวเวล ประธานเฟด นอกจากจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.75 ด้วยมติเอกฉันท์แล้ว
ยังได้แสดงมุมมองต่อท่าทีนโยบายการเงินของสหรัฐในช่วงต่อไปแบบที่ดูเหมือนจะไม่ตึงตัวขึ้น แถมดูเหมือนจะผ่อนคลายลงในระยะสั้นเสียด้วยซ้ำ ทว่านโยบายการเงินสหรัฐเหมือนว่าจะตึงตัวขึ้นในปีหน้า
ผมขอนำไฮไลต์ต่างๆ เพื่อจะสื่อมุมมองที่มีต่อผลการประชุมครั้งสำคัญ ดังนี้
พาวเวลได้ให้ความเห็นไว้ว่า เฟดจะลดความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายลง แต่จะขึ้นดอกเบี้ยเป็นระยะเวลานานขึ้น ตรงนี้เหมือนพาวเวลจะพยายามสื่อกับตลาดว่า เฟดถือคติ "เมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องเล่นไม้นวมแบบนานขึ้น" ซึ่งน่าจะมาจากการประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐไม่น่าจะพุ่งแรงมากนับจากนี้ไป แต่ก็ไม่สามารถที่จะเอาให้ลดลงมาได้เช่นกัน
ผมมองว่า พาวเวลต้องการที่จะเก็บกระสุนไว้ใช้นานๆ เพราะกลายเป็นว่าสงครามกับเงินเฟ้อของเฟดในรอบนี้ จะคล้ายกับกรณีสงครามรัสเซียบุกยูเครน ที่ตอนแรกคิดว่าจะจบแบบเบ็ดเสร็จในเร็ววัน ทว่าเอาเข้าจริงกลายเป็นว่ากลับเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ
ดังนั้น เฟดคงต้องระมัดระวังการใช้กระสุน ไม่ให้ยิงออกมาแบบพร่ำเพรื่อ แถมยังต้องบอกกับสาธารณชนว่าจะต้องจัดเตรียมกระสุนเพิ่มเติมอีกเผื่อเอาไว้ใช้เป็นเวลานานๆ หากว่าจำเป็น
สำหรับเหตุผลที่พาวเวลให้ไว้ในคำแถลงนโยบายการเงินสำหรับการปรับโทนการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ มาจากระยะเวลาระหว่างตอนที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยกับตอนที่นโยบายดังกล่าวส่งผลจริงๆ ต่อเงินเฟ้อ ต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่ง
หรือที่ชอบเรียกกันว่ามี Lag อย่างที่เคยกล่าวไว้ในวลี Long & Variable Lag อยู่บ่อยครั้ง โดย Lag มักจะอยู่ที่ระหว่าง 12-20 เดือน
ขณะที่เฟดมองว่าปัจจัยของสงครามรัสเซียยูเครน รวมถึงนโยบาย Zero-COVID ของจีน ก็ทำให้ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์มาทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวให้มีระยะเวลายาวนานขึ้น
ผมยังมองว่าเฟดคงน่าจะประเมินว่าตัวเลขความคาดหวังของอัตราเงินเฟ้อไม่น่าจะขึ้นไปกว่านี้สักเท่าไร ทว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะค่อยๆ สูงขึ้นแบบที่ครอบคลุมสินค้าและบริการในแต่ละรายการไปเรื่อยๆ จนเกือบครบทุกหมวดหมู่
แถมระดับอัตราเงินเฟ้อของสินค้า (Goods) ก็จะไม่ลดลงเยอะตามคาด หนำซ้ำระดับอัตราเงินเฟ้อของภาคบริการจะดีดตัวสูงขึ้นเร็วขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งส่อเค้าว่าจะลากยาวด้วย
ดังนั้น กลยุทธ์การต่อสู้เงินเฟ้อของเฟด จึงต้องเน้นความรัดกุมมากกว่าการเร่งให้นโยบายการเงินตึงตัวแบบคาดไม่ถึง นั่นคือ ต้องไม่เน้นเล่นเกมเร็วแบบกดดันให้เงินเฟ้อลดลงเร็วๆ สไตล์ "เจอร์เกน คลอปป์” เพราะใช้กับเงินเฟ้อแบบนี้ไม่ได้ผล ก็ต้องเปลี่ยนยุทธวิธีแบบตั้งรับแล้วรอสวนกลับ เหมือน “โจเซ มูริญโญ”
นอกจากนี้ ด้วยการที่พาวเวลอาจยังไม่เชื่อในแนวคิดอัตราดอกเบี้ย ที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน (Neutral Rate) เลยเน้นปรับให้ระดับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เฟดจะขึ้นไปถึง (Terminal Rate) ให้อยู่ในโซนสูงไว้ก่อน
โดยส่งสัญญาณว่า Terminal Rate จะสูงขึ้นกว่าที่เคยให้คำแนะนำไว้ก่อนหน้านี้ ตรงนี้ทำให้ตลาดมีปฏิกิริยาเชิงลบค่อนข้างสูงในประเด็นนี้
ท้ายสุด เฟดยังดึงเกมการขายพันธบัตรที่เคยซื้อไว้ช่วงทำ QE เพื่อลดงบดุลเฟด ว่ายังคงใช้ร่างเดิมเมื่อออกมาตอนกลางปีไปก่อน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเฟดอาจจะกังวลว่า ตลาดพันธบัตรสหรัฐจะแกว่งเหมือนตลาดพันธบัตรอังกฤษเมื่อเดือนที่แล้ว หากจะทำนโยบายนี้อย่างจริงจังในช่วงเวลาเร็วๆ นี้
สำหรับด้านกลยุทธ์การลงทุน ผมมีความเห็นว่าเซกเตอร์ที่น่าสนใจจะยังคงเป็นเซกเตอร์ด้านสินค้าบริโภคที่จำเป็นและเซกเตอร์ธนาคาร โดยยังมองว่าควร “หลีกเลี่ยง” เซกเตอร์เทคโนโลยีไปก่อนในช่วงนี้เหมือนเดิม