เปิด 5 อันดับ 'กองทุนเฮลธ์แคร์ทั่วโลก' ผลตอบแทนสูงสุด รับเทรนด์อีก 10 ปี โต10%

"ภาวะเศรษฐกิจถดถอย"  กดดันให้ "ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน" ในปี 2566 อย่างชัดเจนขึ้น หากเทียบกับจุดต่ำสุดของ ตลาดหมี  (Bear Market) ในอดีตที่ P/E เฉลี่ย 13 เท่า ตลาดหุ้น ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงได้อีก 

จากปัจจุบันจะเห็นได้ว่า  แม้ตลาดหุ้นปรับฐานลงมามากกว่า20% จากจุดสูงสุด แต่ราคาหุ้นก็ยังถือว่าไม่ได้ถูกนัก อย่างค่า P/E ของดัชนี S&P 500 ปัจจุบันอยู่ที่ราว 15 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงปี 2547- 2557ที่14 เท่า  

 

ดังนั้น ผู้ลงทุนต้องมองหาการลงทุนที่สามารถรับมือในช่วงเวลาตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานในปีหน้า

แน่นอนว่า  "ธีมการลงทุนหุ้นเฮลธ์แคร์ทั่วโลก" เป็นหนึ่งธีมหลักในปีหน้าที่ บรรดาผู้จัดการกองทุน เป็นตรงกันว่า การลงทุนใน "หุ้นเฮลธ์แคร์ทั่วโลก" มีแนวโน้มโตกว่า 10% ในอีก 10 ปี สามารถเพิ่มผลตอบแทนสวนกับภาวะตลาดได้ 

แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นและผลตอบแทนกองทุนดังกล่าว "ยังติดลบแต่ก็ติดลบน้อยกว่า"  มองเป็นโอกาสในการเข้าสะสม สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว 

ข้อมูลจาก  มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)  รายงานกลุ่ม "กองทุนหุ้นเฮลธ์แคร์" ที่ยังมีผลตอบแทนสูงสุด 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ 17 พ.ย. 2565)  ดังนี้  

สำหรับคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว "วรสินี เศรษฐบุตร"  ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนและสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) แนะนำว่า การลงทุน "เฮลธ์แคร์" เป็นธุรกิจที่สามารถอยู่รอดได้ในหลายวิกฤติ และยังมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตสูง ในอีก 10 ปีข้างหน้า

"เห็นได้จากหลายวิกฤติการที่ผ่านมา ทั้งในช่วงวิกฤติดอทคอม ซับไพร์ม โควิด-19 ฯลฯ ซึ่ง "เฮลธ์แคร์" สามารถสร้างผลประกอบการที่เป็นบวก หรือติดลบเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ มีผลประกอบการในระดับที่ติดลบ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของผลประกอบการใน"เฮลธ์แคร์"  ช่วงที่เกิดวิกฤตต่าง ๆ อยู่ในระดับที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น" 

นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้ ยังพบว่า  ในระยะ 10 ปี ข้างหน้า ยังมีการคาดการณ์ ด้วยว่าผลประกอบการธุรกิจ Healthcare จะสามารถเติบโตได้ 10.22% สูงกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ อย่างมาก

ทำไมต้องลงทุนหุ้นเฮลธ์แคร์ระดับโลก ( Global Healthcare)

ทางด้าน ผู้จัดการกองทุน "บลจ.เคดับบลิวไอ"  แนะนำว่า   "หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์  Healthcare"   มีผลงานโดดเด่นและคาดการณ์ว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในระยะยาว (Long-term Investment Growth) และที่สำคัญยังมีความแข็งแกร่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (Defensive Characteristics) 

 3 ปัจจัยที่เป็นสิ่งสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มเฮลธ์แคร์ ได้แก่

1. จำนวนของประชากรผู้สูงอายุ
2. ความก้าวหน้าทางการแพทย์
3. ข้อจำกัดในการรักษาโรคบางชนิดทำให้มีการลงทุนเพื่อค้นคว้าวิจัยต่อไป

ดังนั้น มูลค่าหุ้นเฮลธ์แคร์ที่ปรับตัวลงในช่วงนี้ มองว่าเป็นโอกาสทยอยสะสม ด้วยมูลค่าที่น่าดึงดูดและมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั่วโลก