เจาะพอร์ต 5 อภิมหาเศรษฐีหุ้นอสังหาฯ รวยหลักหมื่นล้าน
ผู้ประกอบการอสังหาฯ แถวหน้าในเมืองไทย เป็นที่ยอมรับในวงกว้างล้วนมีอยู่หลายแบรนด์ "กรุงเทพธุรกิจ" พาไปสำรวจเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยในที่เข้าไปลงทุนในหุ้นบริษัทของตัวเอง พบ 5 อันแรกล้วนแล้วแต่มีมูลค่าสูงสุดกว่าหมื่นล้าน
การประกาศไม่ต่ออายุมาตรการสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในแวดวงเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยเหตุผลที่ ธปท. ยกขึ้นมาใช้ เนื่องจากกังวลว่า จะเกิดการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรหลังภาพรวมตลาดอสังหาฯ เริ่มกลับมาเท่ากับในช่วงก่อนโควิด ประกอบกับมีความเป็นห่วงระดับหนี้ครัวเรือนว่าจะเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ผู้ประกอบการเป็นกังวลว่า นี่อาจจะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดอสังหาในปีหน้าไม่เติบโต หรือติดลบได้ เพราะเศรษฐกิจยังคงต้องเผชิญกับเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงราคาต้นทุนสินค้า และค่าแรงที่จะสูงขึ้นด้วย ขณะเดียวกันอีกฟากฝั่งของการส่งสัญญาณให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ก็ยังคงเป็นปัญหาถกเถียงกันในวงกว้างจนต้องมีการถอนร่างกฎกระทรวงออกไปก่อน
5 อภิมหาเศรษฐี หุ้นอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนหุ้น บริษัทของตัวเอง
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอสังหาฯ แถวหน้าในเมืองไทย เป็นที่ยอมรับในวงกว้างล้วนมีอยู่หลากหลายแบรนด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ดังชั้นนำที่รู้จักกันเป็นอย่างดี "กรุงเทพธุรกิจ" พาไปสำรวจเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยในที่เข้าไปลงทุนในหุ้นบริษัทของตัวเอง พบ 5 อันแรกล้วนแล้วแต่มีมูลค่าสูงสุดกว่าหมื่นล้านบาท
(ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 17 พ.ย.65)
1.นายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือ LH
เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 2,860,000,047 หุ้น หรือ 23.93% ราคาล่าสุด ณ วันที่ 17 พ.ย. 65 ปิดที่ 9.35 บาทต่อหุ้น รวมมีมูลค่า 26,741 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่า
- น.ส. เพียงใจ หาญพาณิชย์ (แม่อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าแม่อสังหาฯ รายใหญ่) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 8 จำนวน 134,960,000 หุ้น หรือ 1.13% รวมมีมูลค่า 326 ล้านบาท
และถ้ารวมมูลค่าของทั้งครอบครัวในผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 8 จะมีมูลค่าทั้งสิ้น 27,067 ล้านบาท
ณ วันที่ 10 พ.ย.65 มีมาร์เก็ตแคป 109,937.36 ล้านบาท P/E 13.19 เท่า อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 5.43% โดยกำไรไตรมาส 3/65 ที่ 2,248.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.98% จากงวดเดียวกันปีก่อน หลังโควิดคลี่คลาย ส่วน 9 เดือน ทำกำไร 6,319.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.41%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรขั้นต้นจากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการเพิ่มขึ้นจำนวน 370.31 ล้านบาท จากสถานการณ์โควิด 19 ที่คลี่คลายลงทำให้การดำเนินธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจำนวน 295.83 ล้านบาท จากสถานการณ์โควิด 19 ที่คลี่คลายลงสู่ภาวะปกติ
2.นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของ บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง หรือ PSH
เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 1,318,190,000 หุ้น หรือ 60.23% ราคาล่าสุด ณ วันที่ 17 พ.ย. 65 ปิดที่ 12.10 บาทต่อหุ้น รวมมีมูลค่า 15,950 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบคนในครอบครัวเข้าถึอหุ้นใหญ่ ดังนี้
- น.ส. มาลินี วิจิตรพงศ์พันธุ์ (ลูกสาว) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 85,000,000 หุ้น หรือ 3.88% รวมมีมูลค่า 1,028 ล้านบาท
- นาง ทิพย์สุดา วิจิตรพงศ์พันธุ์ (ภรรยา) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 85,000,000 หุ้น หรือ 3.88% รวมมีมูลค่า 1,028 ล้านบาท
- น.ส. ชัญญา วิจิตรพงศ์พันธุ์ (ลูกสาว) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 85,000,000 หุ้น หรือ 3.88% รวมมีมูลค่า 1,028 ล้านบาท
และถ้ารวมมูลค่าของทั้งครอบครัวในผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 อันดับ 2 อันดับ 3 และอันดับ 4 จะมีมูลค่าทั้งสิ้น 19,035 ล้านบาท
ณ วันที่ 23 พ.ย.65 มีมาร์เก็ตแคป 26,480.91 ล้านบาท P/E 10.23 เท่า อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 7.93% ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/65 มีกำไรสุทธิ 619.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 330.56 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 1,600.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,364.16 ล้านบาท โดยบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ซึ่งในไตรมาส 3/65 บริษัทมีรายได้รวม 6,832 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 6,430 ล้านบาท รายได้จากกิจการโรงพยาบาล 330 ล้านบาท และรายได้อื่น 72 ล้านบาท
3.นายประทีป ตั้งมติธรรม เจ้าของ บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI
เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 554,224,855 หุ้น หรือ 25.86% ราคาล่าสุด ณ วันที่ 17 พ.ย.65 ปิดที่ 23.00 บาทต่อหุ้น รวมมีมูลค่า 12,747 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบว่า
- บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 192,284,100 หุ้น หรือ 8.97% รวมมีมูลค่า 4,422 ล้านบาท
- นาง อัจฉรา ตั้งมติธรรม (ภรรยา) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 122,019,250 หุ้น หรือ 5.69% รวมมีมูลค่า 2,806 ล้านบาท
- นายนเรศ งามอภิชน เซียนหุ้น เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 8 จำนวน 30,000,000 หุ้น หรือ 1.40% รวมมีมูลค่า 690 ล้านบาท
และถ้ารวมมูลค่าของทั้งครอบครัวตั้งมติธรรมในผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 อันดับ 3 และอันดับ 4 จะมีมูลค่าทั้งสิ้น 19,976 ล้านบาท
ณ วันที่ 16 พ.ย.65 มีมาร์เก็ตแคป 45,115.55 ล้านบาท P/E 5.08 เท่า อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 5.40% โดยผลประกอบการไตรมาส 3/65 กวาดรายได้รวมสูงถึง 11,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 64 เป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด 11,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 47% และคอนโดมิเนียม 53% ซึ่งเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ สามารถทำผลงานถึงเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ 29,000 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิ 9 เดือน 6,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 64 ส่งผลให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 54% และมีการบริหารจัดการกระแสเงินสด โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ ณ 30 ก.ย.65 ประมาณ 23,016 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2565 จำนวน 7,267 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 15,749 ล้านบาทในปี 66 และ 67 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต
4.นาย พีระพงศ์ จรูญเอก เจ้าของบมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI
เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 713,066,054 หุ้น หรือ 29.06% ราคาล่าสุด ณ วันที่ 17 พ.ย.65 ปิดที่ 10.20 บาทต่อหุ้น รวมมีมูลค่า 7,273 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบว่า
- บริษัท ทุนพีรดา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของครอบครัว จรูญเอก เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 618,779,918 หุ้น หรือ 25.21% รวมมีมูลค่า 6,311 ล้านบาท
- นาง อารดา จรูญเอก (ภรรยา) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 169,105,456 หุ้น หรือ 6.89% รวมมีมูลค่า 1,724 ล้านบาท
- นาย สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่ เซียนหุ้น) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 99,816,900 หุ้น หรือ 4.07% รวมมีมูลค่า 1,018 ล้านบาท
- นาง วารุณี ชลคดีดำรงกุล (ภรรยาเสี่ยปู่) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 7 จำนวน 38,790,000 หุ้น หรือ 1.58 % รวมมีมูลค่า 395 ล้านบาท
และถ้ารวมมูลค่าของทั้งครอบครัวจรูญเอกในผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 อันดับ 2 และ อันดับ 3 จะมีมูลค่าทั้งสิ้น 15,309 ล้านบาท
ณ วันที่ 16 พ.ย.65 มีมาร์เก็ตแคป 25,277.46 ล้านบาท P/E 7.12 เท่า อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 5.24% ดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 มีรายได้อยู่ที่ 3,833 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 848 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 22%
โดยบริษัทฯมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมและอื่นๆ อีกรวม 323 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ยอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่มอยู่ที่ 4,434 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการที่อยู่อาศัยร่วมทุน 1,553 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการที่อยู่อาศัยทั่วไป อยู่ที่ 2,881 ล้านบาท
5.นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน เจ้าของ บมจ. เอพี พร็อพ เพอร์ตี้ หรือ AP
เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 670,047,561 หุ้น หรือ 21.30% ราคาล่าสุด ณ วันที่ 17 พ.ย. 65 ปิดที่ 10.20 บาทต่อหุ้น รวมมีมูลค่า 6,834 ล้านบาท
ณ วันที่ 16 พ.ย.65 มีมาร์เก็ตแคป 32,088.17 ล้านบาท P/E 5.61 เท่า อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4.90% โดยผลดำเนินงานไตรมาส 3/65 มีกำไรสุทธิ 1,418.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,031.20 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 8,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% จากช่วงเดียวกนปีก่อน แบ่งออกเป็นรายได้จากการขาย 8,689 ลานบาท และรายได้ค่าบริการและค่าบริหารจัดการ 293 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนปี 65 มีกำไรสุทธิ 4,722.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,548.95 ล้านบาท