ลุ้น 'ดอกเบี้ยเฟด-บาทอ่อน' ดันทองปิดปีแตะ 3 หมื่น
จับตา2ปัจจัยชี้ชะตา "ทองคำ" ลุ้น "เฟด-เงินบาท" กำหนดราคาปลายปีแตะ 3 หมื่น "วายแอลจี-ออสสิริส- สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด" ประสานเสียง ปีหน้าปัจจัยผลักดัน “ราคาทอง” พุ่งมาจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
ผลการประชุมนโยบายการเงินของ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (เฟด) ทุกครั้งที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อทิศทาง “สินทรัพย์ลงทุนทั่วโลก” เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อย่าง “ทองคำ” และการประชุมเฟดนัดสุดท้ายของปี 2565 (13-14 ธ.ค.นี้) จะกำหนดทิศทางราคาทองคำก่อนหมดปีนี้ และปูทางให้เห็นสัญญาณแนวโน้ม ราคาทองคำ ในปี 2566 จะ “รุ่ง” หรือ “ร่วง”
ทว่าสารพัดความกังวลเรื่องนโยบายดอกเบี้ยสหรัฐที่มีโอกาส “ลดลง” สะท้อนผ่านจากถ้อยแถลงของ "เจอร์โรม พาวเวลล์" ประธานธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) เป็นไปในเชิง Hawkish “น้อยกว่า” ที่ตลาดประเมินไว้ และเป็นการส่งสัญญาณ “อย่างชัดเจน” ว่า เฟดกำลังเตรียม “ชะลอ” การขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือขึ้นแค่ระดับ 0.5% เท่านั้นในการประชุมของเฟดครั้งสุดท้ายของปีนี้ !
รวมทั้งนักลงทุนยัง “ลด” การคาดการณ์เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal Rate) ในรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ลงเหลือ 4.75-5.00% จากระดับเดิม 5.00-5.25% ในช่วงก่อนหน้า หนุนให้ราคา spot ปรับตัวสูงขึ้นจนทำระดับสูงสุดอีกครั้งที่ระดับ 1,779.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเช้าของวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้น ในระยะสั้นมีความเป็นบวกมากขึ้น สะท้อนผ่านช่วงเช้าของวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา ปรับตัวทำระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ครั้งใหม่อีกครั้งในระดับ 1,806.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แต่ “ทองคำไทย” กลับไม่สอดคล้องกับตลาดโลก เพราะยังไม่เห็น ราคาทองคำไทย ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 30,000 บาท เหตุผลสำคัญที่ “กดดัน” ราคาทองคำไทยยังไม่ขยับไม่พ้นเงินบาทพลิกมาแข็งค่ารวดเร็วถึง 2 บาทภายในสัปดาห์เดียว หรือเงินบาทแข็งค่าขึ้นมายืนเหนือระดับค่าเฉลี่ย 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงเทพธุรกิจ” สอบถามเหล่า “กูรูทองคำ” ถึง ทิศทางราคาทองคำ ในปลายปีนี้ และต่อเนื่องในปี 2566 !
"ทองคำ” ถึงทางสามแพร่ง ลุ้นผลประชุมเฟดชี้ชะตา
“ฐิภา นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) มีมุมมองว่า ในปัจจุบัน ทองคำ ถึงทางสามแพร่งแล้ว โดยมีปัจจัยสำคัญที่กำลังเข้ามาเป็นตัว “ชี้ชะตา” ความเคลื่อนไหวราคาทองคำในช่วงปลายปีนี้ และปี 2566 นั่นคือ ผลการประชุมของเฟดนัดสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้
โดย วายแอลจีฯ มีการประเมินและคาดผลประชุมของเฟดนัดสุดท้าย จะส่งผลต่อราคาทองใน “3 รูปแบบ” คือ
1.หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับ 0.5% ถือว่า “สอดคล้อง” กับคาดการณ์ส่วนใหญ่ของตลาดที่มองไว้ ซึ่งอาจส่งผลให้ “เกิดแรงซื้อ” เมื่อมีข่าวจริง (Buy the Fact) หลังจากราคาทอง “ถูกขาย” เมื่อมีข่าวลือ (Sell the Rumor) อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าตลาดมีการรับข่าวการคาดการณ์ดังกล่าวไปมากพอสมควรแล้ว ดังนั้น “มีโอกาส” ให้ราคาทองปิดปี 2565 กลับไปยืนเหนือระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
2.เฟดขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปตามคาด หรือ Hawkish “น้อยกว่า” ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อาทิ เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.75% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณชะลอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า หรือ Dot Plot บ่งชี้ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย “น้อยกว่า” ที่ตลาดคาดการณ์ รวมถึงเริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจมากกว่าภาวะเงินเฟ้อ “เปิดโอกาส” ให้ราคาทองปิดปีเหนือ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์แน่นอน
3.หากเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ถือว่า Hawkish หรือ Dot Plot บ่งชี้ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย “มากกว่า” ที่ตลาดคาดการณ์ เป็นปัจจัยหนุนสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่งผลเชิงลบต่อราคาทอง “ลดโอกาส” ให้ราคาทองปิดปีเหนือ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
“ในทางเทคนิค ถือว่าราคาทองพร้อมปรับตัวขึ้นและมีโอกาสกลับไปยืน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ในระยะถัด ๆ ไป หลังราคาลงไปทดสอบบริเวณ 1,616-1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็น Bottom ที่ทองคำลงไปทดสอบถึง 3 ครั้ง (Triple Bottom) แล้วไม่ทำ Lower Low และเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ ก่อนที่จะทะลุ 1,729 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการยืนยัน (Confirm) เบื้องต้นของการทำ Triple Bottom”
“ฐิภา” บอกต่อว่า ปีหน้าความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะ “ถอถอย” (Recession) เริ่มมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขณะที่ตัวเลข “เงินเฟ้อ” เริ่มชะลอตัวลง และสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก “ชะลอ” นโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเร่งตัว โดยคาดว่าจะเห็นสัญญาณชัดเจนดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ดังนั้น ถือเป็นปัจจัยหลักที่ต้องจับตามดู เพราะว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในปีหน้า !
สำหรับ แนวโน้มราคาทองคำ ในระยะสั้นมองเป็นบวก โดยแนวต้านระยะสั้น-กลาง อยู่ที่ 1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีกรอบแนวต้านแรก 1,916-1,879 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ทองคำไทยอยู่ที่ 31,250-31,850 บาท และหากทองคำสามารถทะลุผ่านได้ ถึงจะมี “โอกาส” ขึ้นไปทดสอบระดับ “สูงสุด” ของปี 2565 และเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,075-2,069 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองคำไทยอยู่ที่ 34,400-34,500 บาท ภายใต้สมมุติฐานเงินบาทอยู่ที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์
**ลุ้นเงินบาทพลิกอ่อนค่า 35 บาท “ทองไทย” แตะ 30,000 บาท
“ณัฐพงศ์ มาลัยศรี” นักวิเคราะห์การลงทุน บริษัท ออสสิริส จำกัด มีมุมมองว่า จากคาดการณ์ "รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค" (PPI) ในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา ของสหรัฐที่ชี้วัดว่าอัตราเงินเฟ้อที่มาจากทาง "ผู้ผลิต" คาดการณ์ว่าจะขยายตัวลดลงเหลือ 7.2% จากเดือนก่อนขยายตัวแตะ 8% และตัวเลขของ PPI แสดงถึงอัตราเงินเฟ้อจากฝั่งผู้ผลิตลดลง อาจจะทำให้เฟดต้องเริ่มชะลอในการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ และ “ส่งผลต่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าและเป็นผลบวกต่อราคาทองคำ Spot"
ขณะที่ราคา “ทองไทย” นั้น น่าจะเริ่มมีจังหวะเฉิดฉายได้จากปัจจัยดังกล่าว จาก “ราคาทองคำ Spot” แตะระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ทองคำไทยกลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยเพราะเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเร็วมาก ส่งผลทองคำไทยถูกกดดันจากค่าเงินบาท ดังนั้นระดับราคา 30,000 บาทต่อบาททองคำ “หายวับไปทันที” เมื่อช่วงต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา !
ฉะนั้น ราคา “ทองไทย” ยังคงต้องรอความหวังจาก "แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติช่วงปลายปีนี้" และลุ้นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ จากปััจจุบันแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 34.60-34.70 บาทต่อดอลลาร์ และคาดว่าสิ้นปีนี้น่าประคองตัวไม่หลุดระดับ 34.50 ต่อดอลลาร์
หากหลังจาก "เงินบาทเริ่มทรงตัว" แล้ว และราคาทอง spot ก็น่าขยับขึ้นทะลุแนวต้านแรกที่ 1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ รวมถึงราคาทองคำไทยที่ 29,600 บาท มาอยู่แนวต้านถัดไปที่ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดังนั้น ในสิ้นปี 2565 มีโอกาสที่จะเห็น “ราคาทองคำไทย” อยู่ที่ระดับ 30,000 บาท !! แต่ที่แน่ๆ ระดับ 29,800 บาท ได้เห็นอย่างแน่นอน โดยมองกรอบแนวรับของทอง spot อยู่ที่ 1,770-1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำไทยอยู่ที่ 29,200-29,350 บาท
“เราคงต้องรอลุ้นแรงขายหุ้นไทยฝั่งนักลงทุนต่างชาติปลายปีนี้ และตอนนี้เริ่มมีสัญญาณจากพฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติในปีนี้แม้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าจริงแต่เป็นเทรดซื้อๆ ขายๆ และยิ่งมีประเด็นเก็บภาษีขายหุ้น คาดทิศทางฟันด์โฟลว์น่าจะไหลออกแบบซึมๆ ไม่ถือไม่ซื้อ ลุ้นเงินบาทอ่อนค่าบ้าง”
ขณะที่ แนวโน้มราคาทองในปี 2566 นายณัฐพงศ์ คาดว่าแนวต้านราคาทองคำไทยอยู่ที่ 32,000 บาท และยังมองว่ามีโอกาสทองคำไทยจะขยับขึ้นอีกได้ โดยยืนราคาทอง spot ที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับทุกบริษัทคาดการณ์ไว้ก่อน
“สแตนดาร์ดชาร์ฯ” คาดปีหน้า ทองคำไทยพุ่งแตะ 34,000 บาท
ขณะที่ "สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด" คาดการณ์ปีหน้าทิศทางราคาทอง sport อยู่ที่ 2,000-2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ ราคาทองคำไทยอยู่ที่ 33,000-34,000 บาท ภายใต้เงินบาทแข็งค่าไม่หลุดระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์
โดยปัจจัยหลัก “ดันราคาทองปีหน้า” มาจากความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และหลายประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยชัดเจน โดยเงินเฟ้อหลายประเทศยังยืนระดับสูง (เอเชีย 6% สหรัฐ 6% ยุโรป 10%) และมองว่ายังห่างไกลเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางแต่ละประเทศอยู่ที่ระดับ 2%
รวมถึงปีหน้าความเสี่ยง "ตลาดหุ้นทั่วโลก" ยังผันผวนมากกว่าปีนี้ และราคาสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง "บิตคอยน์" ยังมีโอกาสปรับตัวลงครั้งใหญ่ลดลงถึง 70-80% จาก ปัจจุบัน 17,000 ดอลลาร์ ลงมาแตะ 10,000 ดอลลาร์ หรือแย่สุดที่ 5,000 ดอลลาร์
ดังนั้น ด้วยสารพัดความเสี่ยงดังกล่าวที่รออยู่ในระยะข้างหน้าจะทำให้ “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่าง เงินสด เช่น สกุลเงิน ดอลลาร์ , เยน , ฟรังก์ รวมทั้ง ทองคำ จะเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่กลับมาสร้างความ "โดดเด่น" และน่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุน สินทรัพย์เสี่ยง อย่าง “หุ้น” และ “คริปโทเคอร์เรนซี” ไหลกลับเข้ามาใน “ทองคำ” ได้อีกครั้ง