‘กองทุน’แห่ปรับพอร์ตลงทุน ชูตราสารหนี้สู้ศก.โลกถดถอย
“กองทุน”แห่ปรับพอร์ตสู้เศรษฐกิจโลกถดถอย “บลจ.ทิสโก้-ไทยพาณิชย์” เพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ “แบงก์กรุงศรี”ลุ้นครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้น -ตลาดผันผวนลดลง หันลงทุนหุ้นไทย-หุ้นโลก
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ระบุว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Resession) เห็นได้จากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ของสหรัฐฯ ที่ต่ำใกล้ระดับ 50 สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบจากเงินเฟ้อสูงที่กดดันการบริโภค รวมถึงผลของการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปีนี้ ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่ดีนัก
สำหรับในปีนี้หลายสินทรัพย์ลงทุนเริ่มมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้จัดการกองทุนเริ่มปรับพอร์ตและแนะนำผู้ลงทุนจัดพอร์ตลงทุนที่สามารถช่วย “ล็อกเป้า” ที่ให้ผลตอบแทนสูง และยังทนทานต่อเศรษฐกิจถดถอย
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทบลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกถดถอยชัดเจนขึ้น ได้เริ่มกระจายการลงทุนและให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อจะช่วยสร้างผลตอบแทนสูง และดีกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตอนนี้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (บอนด์ยีลด์) 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาสูงที่ระดับ 4-5% เป็นระดับผลตอบแทนที่สูงสามารถชนะเงินเฟ้อได้อีกด้วย โดยเน้นลงทุนตราสารหนี้ที่ีมีเครดิตเรตติ้งสูง เช่น A- ขึ้นไป และอายุตราสารหนี้ระยะปานกลางประมาณ 3-5 ปีขึ้นไป จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน ในช่วง 1 ปีข้างหน้า และกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยได้ดี
สำหรับการลงทุนในหุ้น ให้น้ำหนักหุ้นต่างประเทศ มากกว่าหุ้นไทย ทยอยสะสมหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์เป็นธุรกิจที่สามารถอยู่รอดได้ในหลายวิกฤติ และยังมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตสูง ในอีก 10 ปีข้างหน้า รวมถึงหุ้นเติบโต ทั้งในจีนและสหรัฐ เช่นกลุ่มเทคโนโลยรายใหญ่ไว้ก่อน เพราะยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
นายสาห์รัช กล่าวว่า ส่วนหุ้นไทยก็มีปัจจัยบวกหนุน ทั้งท่องเที่ยวฟื้น จากนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางกลับมา และการเลือกตั้งในเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งมองดัชนีสิ้นปีนี้แตะ 1,700-1,800 จุด โดยแนะนักลงทุนจัดพอร์ต โดยกระจายลงทุนในตราสารหนี้ สัดส่วน 40% และหุ้น สัดส่วน 60% (เป็นหุ้นต่างประเทศ 70% และหุ้นไทย 30% )สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้และเงินลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป
นางสาวสุทธินีย์ ลิมปพัทธ์ ผู้บริหารกลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปีนี้เริ่มเพิ่มสัดส่วนการลงทุนตราสารหนี้ ทั้งตราสารหนี้ไทย พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade) ที่มีความสามารถสร้างผลตอบแทนจากเศรษฐกิจฟื้นตัว และมีโอกาสทำผลตอบแทนระดับ 7-8% หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่มีผลตอบแทน 3-6% ทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น
โดยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนสัดส่วน 50% ของพอร์ตลงทุนรวม สามารถสร้างผลตอบแทนรวมได้ 5% ล็อกเป้าสร้างผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอยปีนี้ได้
ขณะที่สัดส่วนอีก 50% ของพอร์ตลงทุนในหุ้น สำหรับการลงทุนระยะ 1 ปีนี้ ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยมากกว่าหุ้นต่างประเทศ เพราะว่ามีปัจจัยสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และการท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ 1,760 จุด ยังต้องติดตามความเสี่ยงปัจจัยนอกประเทศเป็นหลัก
นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (ฺฺBAY)กล่าวว่า การจัดพอร์ตลงทุนในปีนี้ แนะนำกระจายลงทุน หรือจัดพอร์ต แบบ Core port ในสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ หุ้นต่างประเทศ หุ้นไทย อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ในสัดส่วน 80% ขณะที่อีก 20% เน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโต หุ้นแวลูเป็นต้น
โดยการจัดพอร์ตช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ขณะที่ครึ่งปีหลัง เมื่อเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจนมากขึ้น ความผันผวนลดลง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นน่าสนใจมากขึ้น ทั้งหุ้นไทยและหุ้นโลก
สำหรับนักลงทุนทั่วไป ควรเริ่มแบ่งพอร์ตลงทุน ถือตราสารหนี้ราว 30% ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-6% ถือเกิน5ปี แต่นักลงทุนวัยเกษียณ ลงทุนตราสารหนี้50-60%ของพอร์ต ส่วนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ยังจำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน จากปีนี้เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น และถ้าลงทุนระยะสั้น เน้นตราสารหนี้ไทยระยะสั้น ผลตอบแทน1-2% หรือเงินฝากประจำที่ให้ผลตอบแทนดี