เปิด 8 ข้อเท็จจริง ของการเป็น “หนี้”ของคนไทย
ธปท. เปิด 8 ข้อเท็จจริง ในการเป็น “หนี้”ของคนไทย ชี้คนไทยเป็นหนี้เร็ว เริ่มก่อหนี้ตั้งแต่อายุ 25ปี ตั้งแต่เป็นนักศึกษา แถมเป็นหนี้เกินตัว เกือบ 30%เป็นหนี้จากบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล และมีหนี้เกิน4บัญชีต่อคน วงเงินรวมสูง10-25เท่าของรายได้ในแต่ละเดือน
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดทำเอกสาร ทิศทาง แนวทางการแก้ปัญหา “หนี้ครัวเรือน" อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการภายใต้แนวนโยบายภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงิน หรือ Financial Landscape เพราะภาคครัวเรือนไทย ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในภาคการเงิน หากครัวเรือนปลอดหนี้ ประชาชนสามารถบริหารจัดกรบริหารหนี้ได้ดีและยั่งยืนขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินระยะยาวได้
ธปท. ชี้ให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือนไทย เป็นปัญหาที่สะสมมานาน ตั้งแต่ปี2563 หนี้ครัวเรือนเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 90%ต่อจีดีพี จากระดับ 60%ในปี 2553 นับเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ภายในเวลาเพียง10ปี
และแม้ล่าสุด หนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3ปี 2565 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 87%ต่อจีดีพี แต่ระยะข้างหน้า “หนี้ครัวเรือนไทย” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
โดยจากการศึกษาของ “หนี้ครัวเรือนไทย”ของธปท. ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเป็นหนี้ของคนไทย มี 8 ข้อเท็จจริงที่สำคัญ ที่ทำให้ “หนี้ครัวเรือนไทย”ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
8 ข้อเท็จจริง ของการเป็น “หนี้”ของคนไทย
1. คนไทยเป็นหนี้เร็ว
คนเริ่มวัยทำงาน อายุ 25-29ปี มากกว่า 58%เป็นหนี้ และมากกว่า 25% เป็นหนี้เสีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ที่บางส่วนไม่นำไปสร้างรายได้ ทำให้เป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มอายุน้อยกว่า 25ปี ซึ่งรวมถึงนักเรียน นักศึกษา เป็นหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
2.เป็นหนี้เกินตัว
พบว่า เกือบ 30% ของลูกหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคล มีหนี้เกิน 4 บัญชีต่อคน วงเงินรวมต่อคนสูงถึง 10–25 เท่าของรายได้ในแต่ละเดือน
ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของต่างประเทศที่ห้ามไม่ให้มีหนี้เกินกว่า 5–12 เท่าของรายได้ต่อเดือน จนทำให้รายได้เกินกว่าครึ่งต้องเอาไปจ่ายคืนหนี้ ซึ่งเป็นภาระหนี้ที่มาจากหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคลเกิน 50%
หนี้สองประเภทนี้จึงถือเป็นศูนย์กลางของปัญหากับดักหนี้ของคนไทย ที่สำคัญหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคลมีดอกเบี้ยสูง เนื่องจากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ระยะเวลาผ่อนสั้น ทำให้มีหนี้ที่ต้องชำระคืนต่อเดือนสูง ลูกหนี้จึงมีความเสี่ยงที่จะจ่ายไม่ไหวจนกลายเป็นหนี้เสีย
เห็นได้จากจำนวนบัญชีของลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสีย เป็นหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคลมากกว่า 60% กู้เงินมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานแรก ๆ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวและใช้จ่ายส่วนตัว แต่เมื่อยอดหนี้สูงมาก ๆ ภาระที่ต้องจ่ายต่อเดือนก็สูงตาม จนสุดท้ายถูกหักหนี้จากเงินเดือนจนแทบไม่เหลือกิน
3.เป็นหนี้โดยไม่ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนหรือถูกต้อง
โดย 4 ใน 5 ของปัญหาในขั้นตอนการเสนอขายสินเชื่อของสถาบันการเงิน คือ ลูกหนี้มักได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่รู้และไม่เข้าใจเงื่อนไขการได้รับสินเชื่อ
โดยเฉพาะดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ทั้งกรณีปกติและกรณีผิดนัดชำระ นอกจากนี้ ลูกหนี้บางส่วนยังได้รับข้อมูลด้านเดียว เช่น โปรโมชันผ่อนน้อย แต่ไม่ระบุให้ชัดว่าต้องผ่อนนาน ทำให้ลูกหนี้อาจตกอยู่ในวังวนการเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น
4. เป็นหนี้เพราะมีเหตุจำเป็น
กว่า 62% ของครัวเรือนไทยมีเงินออมเผื่อฉุกเฉินไม่เพียงพอ และหากเกิดเหตุที่ทำให้รายได้ลดลง 20% จะมีครัวเรือนเกินครึ่งที่มีเงินไม่พอจ่ายหนี้ ทำให้ต้องไปกู้จากทั้งในและนอกระบบเพื่อดำรงชีพ และส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายคืนได้ เพราะรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งพบในหลายกลุ่มอาชีพ เช่น เกษตรกร อาชีพอิสระ ค้าขาย รับจ้าง บริการ และพนักงานโรงงาน
5. เป็นหนี้นาน มากกว่า 1 ใน 4 ของคนอายุเกิน 60 ปี ยังมีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระ
โดยมีหนี้เฉลี่ยสูงกว่า 415,000 บาทต่อคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ในภาคเกษตรที่ได้รับการพักชำระหนี้เป็นเวลานาน รวมทั้งหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคลที่ลูกหนี้มักผ่อนจ่ายขั้นต่ำ (เกือบ 40%) ทำให้หมดหนี้ได้ช้า เช่น ถ้าผ่อนชำระหนี้ส่วนบุคคลขั้นต่ำ 3% จะต้องใช้เวลาถึง 7 ปี จึงจะผ่อนหมด
6. เป็นหนี้เสีย
ลูกหนี้ 10 ล้านบัญชีที่เป็นหนี้เสีย เกือบครึ่งหรือ 4.5 ล้านบัญชี เพิ่งเป็นหนี้เสียในช่วงโควิด 19 (คิดเป็นลูกหนี้ 3.1 ล้านคน และมียอดหนี้รวม 4 แสนล้านบาท) แบ่งเป็นบัญชีหนี้เสียที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) 70% ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) 20% และธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) 10% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคล และหนี้ในภาคเกษตร
7.เป็นหนี้ไม่จบไม่สิ้น
เกือบ 20% ของบัญชีหนี้เสียถูกยื่นฟ้อง โดย 1 ใน 3 ของลูกหนี้ในคดีที่จบด้วยการยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดแล้ว ก็ยังปิดหนี้ไม่ได้ และอาจถูกอายัดทรัพย์เพิ่มเติม ส่วนหนึ่งชี้ว่าลูกหนี้ไม่มีตัวช่วยหาทางออก เข้าไม่ถึงการไกล่เกลี่ยหนี้ ทั้งก่อนฟ้อง หลังฟ้อง และหลังมีคำพิพากษา และในกรณีที่ลูกหนี้ไปต่อไม่ไหว ก็ยังไม่มีช่องทางให้ลูกหนี้รายย่อยทั่วไปที่ไม่ได้ทำธุรกิจเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูหรือล้มละลาย ซึ่งแม้การเป็นบุคคลล้มละลายจะมีข้อจำกัดในการกู้ใหม่ แต่ก็ช่วยให้ลูกหนี้มีทางออกได้
8. เป็นหนี้นอกระบบ
42% ของกว่า 4,600 ครัวเรือนทั่วประเทศที่ขอรับความช่วยเหลือแก้หนี้ มีหนี้นอกระบบเฉลี่ยคนละ 54,300 บาท จากการที่ เข้าไม่ถึงหนี้ในระบบเพราะมีรายได้ไม่แน่นอน เจ้าหนี้ไม่เห็นข้อมูลรายได้ จึงไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ และหากจะปล่อย อาจคิดดอกเบี้ยสูง เลือกกู้นอกระบบเอง เพราะสะดวก ได้เงินเร็ว ไม่ต้องมีหลักประกัน แม้ดอกเบี้ยจะแพง และใช้/ขอสินเชื่อในระบบเต็มแล้ว จนต้องกู้หนี้นอกระบบไปจ่ายหนี้ในระบบ
ธปท.เชื่อว่า หากไม่ลุกขึ้นมา แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ท้ายที่สุดแล้ว “หนี้ครัวเรือน”อาจค้างสูงเกินระดับ 84%ที่เป็นระดับเฝ้าระวัง หรือความยั่งยืน ตามคำนิยามของ Bank for international Settlements (BIS) ที่ถือเป็นระดับที่ฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจระยะยาว และเสี่ยงกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในอนาคต ไม่พอปัญหาหนี้ครัวเรือนอาจลามไปสู่ปัญหาอื่นๆตามมาอย่างไม่จบไม่สิ้น