“สมหมาย ภาษี”ชี้ประชานิยมทำลายเครดิตประเทศ
อดีตรัฐมนตรีคลัง "สมหมาย ภาษี" ชี้นโยบายหาเสียงพรรคการเมือง "ประชานิยม" เป็นนโยบายไม่สร้างสรรค์ สะท้อนความด้อยพัฒนาของการเมืองไทย ทำลายเครดิต และลากประเทศให้ถอยหลัง แนะ 3 นโยบายทางออกประเทศ" ปราบคอร์รัปชัน - สร้างธรรมาภิบาลระบบราชการ - สร้างความยั่งยืนการคลัง"
นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความเห็นถึงนโยบายในการหาเสียงของพรรคการเมืองในขณะนี้ว่า นโยบายพรรคการเมืองส่วนใหญ่ใช้หาเสียงในขณะนี้ ยังมุ่งเน้นไปที่นโยบายประชานิยม แน่นอนว่า จะต้องใช้เงินงบประมาณมาใช้จ่ายจำนวนมาก ในขณะที่ รัฐบาลมีข้อจำกัดทางด้านการใช้จ่าย ซึ่งยังไม่เห็นพรรคการเมืองใดที่พูดถึงนโยบายที่จะหารายได้มาสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ ดังนั้น หากพรรคการเมืองยังมุ่งเรื่องการใช้จ่ายประชานิยม จะยิ่งสร้างภาระทางการคลัง ทำให้ประเทศขาดเครดิตหรือความน่าเชื่อถือไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี เขาเปรียบเทียบนโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองก็เหมือนกับละครน้ำเน่าของไทย ซึ่งคนส่วนใหญ่ชอบ ดังนั้น พรรคการเมืองก็ต้องทำนโยบายที่ประชาชนส่วนใหญ่ชอบ โดยไม่คำนึงว่า เมื่อดำเนินนโยบายดังกล่าวแล้ว จะก่อให้เกิดความเสียหายของประเทศตามมา โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว จะเดินหน้ากู้เงินมาใช้แบบไม่เห็นหน้าเห็นหลัง ทั้งนี้ ทีดีอาร์ไอเคยประเมินว่า ถ้านำนโยบายเหล่านี้มารวมกัน เม็ดเงินจะมหาศาล หรือมากกว่าเม็ดเงินงบประมาณในแต่ละปี
“ละครทีวีของไทย ก็พูดกันว่า ทำไมมันช้า มีแต่ความรัก อิจฉาริษยา แต่ที่เป็นแบบนี้ เพราะคนไทยส่วนมากชอบแบบนี้กัน ก็สร้างตามความต้องการผู้ดูเป็นส่วนใหญ่ พรรคการเมืองก็เหมือนกัน ก็คิดแต่เรื่องอะไรที่ประชาชนถูกใจ ถ้ารัฐบาลมา กู้มือเติบแบบไม่เห็นหน้าเห็นหลัง ต่างชาติก็ถอย ค่าเงินบาทก็จะหล่นไปอีกทีนี้ กู่ไม่ขึ้น ซึ่งเราจะเสียมวยแบบนี้ไม่ได้ ทีดีอาร์ไอก็บอกว่า ถ้าเอานโยบายเหล่านี้มารวมกัน เม็ดเงินจะมหาศาลมาก มากกว่า งบประมาณอีก มันทำไม่ได้ มันพูดเพื่อหาเสียง นี่ความด้อยพัฒนาของการเมืองไทย และเราจะเติบโตอย่างมั่นคง และมั่งคั่งได้อย่างไร”
เขายกตัวอย่างว่า กรณีนโยบายลดราคาน้ำมันของพรรคการเมืองหนึ่งนั้น จะลดได้อย่างไร จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายจำนวนมาก ส่วนนโยบายหยุดเงินต้น ลดดอกเบี้ย จะสามารถทำได้อย่างไร เพราะแบงก์เองเขาก็มีหลักการรองรับอยู่แล้ว ถ้าทำอย่างนี้ จะทำให้หนี้ครัวเรือนมีปัญหา ไม่สร้างสรรค์เลย สวัสดิการสังคมของพรรคการเมืองใครมีอะไรก็อัดแปะเต็มข้างถนน ซึ่งตนเชื่อว่า ประเทศเพื่อนบ้านมันคงถ่ายรูปเราไป และหัวเราะว่า ประเทศเราโบราณ ล้าหลัง พรรคการเมืองคิดอะไรเหมือนๆ กัน ซึ่งก็คือ ประชานิยมใครมาดูก็รู้ ต่างชาติก็แปล เวียดนามมันคงหัวเราะเรา
เขาเห็นว่า นโยบายที่เสนอ ออกมานั้น จะสามารถทำได้บ้าง แต่ไม่ได้ทั้งหมด หรือทำได้แค่ 20% เท่านั้นเพราะมีข้อจำกัด ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ก็ทำกันหมด อย่างฝรั่งเศสยังขยายอายุการทำงานออกไป เพราะงบประมาณค่อนข้างลำบาก จะหาเงินมาจ่ายบำเหน็จบำนาญจำนวนมาก คนไทยก็เป็นแล้ว อย่างวันก่อนพรรคการเมืองบอกว่า จะไม่จ่าย บำเหน็จข้าราชการ ซึ่งเขาเห็นว่า อันนี้ มันบานปลายมาก เพราะข้าราชการตายยาก เกษียณไปต้องจ่ายเงินบำนาญไปเรื่อยๆ รัฐบาลก็หมดเงินไปทุกที ก็เรื่องจริง เป็นสภาพนี้
อย่างไรก็ดี เขาเห็นว่า ในที่สุด ประชาชนก็จะต้องเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งมาเป็นรัฐบาล แต่สิ่งที่อยากเห็นคือ การให้คำแนะนำของบรรดาข้าราชการต่อการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล เพราะข้าราชการจะมีข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ ฉะนั้น การดำเนินนโยบายในเรื่องใดๆ จะต้องอยู่ในกรอบ แต่ถ้ารัฐบาลยังคงเดินหน้าในนโยบายที่หาเสียง จะทำให้ประเทศขาดความน่าเชื่อถือ และจะลากประเทศถอยหลังหนักไปอีก
“ถามว่า ตอนนี้ ใครมาเป็นรัฐบาลก็เจอข้อจำกัดทางด้านต่างๆ จะเอาเงินกู้มากๆ จากไหน จะเพิ่มหนี้สาธารณะจาก 70-80% ก็ได้ แต่ประเทศเราจะขาดความน่าเชื่อถือ ต่างชาติไม่ลงทุน อย่าลืมนะว่า ทุกอย่างเราต้องพึ่งพาต่างชาติ ของที่ผลิตบริษัทใหญ่ๆ ก็มีเงินลงทุนจากต่างชาติเกือบครึ่ง และบริษัทพวกนี้เวลาต้องการเงินก็ไปออกตราสารหนี้ ซึ่งตราสารหนี้ที่ออกกว่า 90% ของจีดีพี ในปัจจุบัน ในจำนวนนั้นร่วม 30% ก็มีเงินต่างชาติมาลงทุน จึงเป็นเหตุว่า เราต้องโยงกับต่างชาติมาก ในเรื่องต่างๆ ถ้าเราทำอะไรผิดเพี้ยน จะทำลายเครดิตประเทศ”
สำหรับนโยบายพรรคการเมืองที่ตนอยากเห็นนั้น อันดับแรกคือ จุดอ่อนที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรม นั่นก็คือ ปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งไม่เห็นพรรคไหนพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังถ้ามาเป็นรัฐบาล ซึ่งปัญหานี้ ไม่จำเป็นต้องหมด แต่ให้ลดน้อยถอยลง ถ้าพรรคไหนคิดทำเรื่องนี้ จะบริหารประเทศได้ดี แน่นอนเลย เรื่องที่สอง คือไม่มีพรรคไหนที่บอกว่า ธรรมาภิบาลภาครัฐมันแย่ลงทุกวัน คนมีเรื่องกับตำรวจก็กลัวตำรวจ ขึ้นโรงขึ้นศาลก็กลัวเหมือน ไปทำอะไรกับราชการ ก็ทำไมเป็นแบบนี้ ความมั่นใจของประชาชนในระบบกิจกรรมการทำงานของรัฐมันลดน้อยลงไป ถ้าพรรคทำสองเรื่องนี้ เรื่องอื่นๆ ก็ไปได้
นอกจากนี้ ในเรื่องการคลังยั่งยืน แน่นอนว่า เรื่องการเก็บภาษีเป็นเรื่องคู่กับการตั้งงบประมาณ ซึ่งงบประมาณเราก็ฟุ่มเฟือย เละเทะ ยกตัวอย่าง ราคาของที่ต้องใช้ 70 บาท ก็ตั้งงบ 100 บาท เผื่อค่าคอร์รัปชัน 30 บาท อะไรแบบนี้ ก็ไม่ได้เนื้องาน และเม็ดเงิน เราก็มีการเก็บภาษีกันแบบเบี้ยวๆ กันมาก ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราต้องปรับระบบ และอัตราภาษีด้วย ต้องหารายได้ให้ประเทศเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งจะทำให้การคลังยั่งยืน ประเทศก็จะก้าวหน้า
“เรื่องการเก็บภาษีต้องดูจริงจัง ตอนนี้ พรรคการเมืองที่ขึ้นมาต้องให้ความสำคัญ ยกตัวอย่าง ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาโหวตให้รัฐบาลขึ้นภาษี เพื่อมาบูรณาการประเทศ ส่วนเรื่องการกู้เงินก็อีกทาง แต่มีขอบเขตของมัน กู้มากก็เสียเครดิต ไม่มีใครให้กู้ ก็จะเจ๊งไป ทีมเศรษฐกิจเข้าพรรคก็รู้ แต่ไม่พูด คนเป็นนักวิชาการก็ควรพูด กลัวอะไร ต้องใช้ความเก่งให้เป็นประโยชน์ ไม่งั้นจะเข้าพรรคการเมืองทำไม จะเข้ามาร่วมโกงทุจริตหรืออย่างไร”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์