เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เห็นด้วยเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ แนะเร่งพัฒนาฝีมือแรงงาน
เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เห็นด้วย นโยบายหาเสียง เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ หลังค่าครองชีพแรงงานพุ่ง แนะนอกจากเพิ่มรายได้ แนะพัฒนาฝีมือแรงงาน ขึ้นค่าจ้ตามอายุงาน ช่วยแรงงานอยู่รอดยั่งยืน
ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการติดตามการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย การเลือกตั้งรอบนี้มีการเน้นหาเสียงด้วยนโยบายมากกว่าตัวบุคคล ทุกพรรคมุ่งเป้าไปที่การสร้างหลักประกันชีวิตให้คนจน หรือมักใช้คำว่าสร้างรัฐสวัสดิการ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในประเทศตกอยู่ในสภาวะยากจนลงจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น การปรับรายได้ให้ทันรายจ่ายจึงเป็นการชูนโยบายที่เป็นเหตุเป็นผลและเป็นรูปธรรมมากที่สุด
“เรากังวลกันว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่ลองสังเกตดูว่าจนถึงทุกวันนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำยังไม่ทันขึ้นเลย แต่ค่าครองชีพกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจึงไม่ใช่เหตุ แต่มันเป็นผลของเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทุกพรรคเห็นปัญหานี้และได้หยิบยกมาเป็นนโยบายหลัก”
ภาพสำคัญที่สะท้อนว่าค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราปัจจุบันไม่เพียงพอ คือการทำงานล่วงเวลาของบรรดาลูกจ้างที่ต้องดิ้นรนทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมงตามที่กฎหมายระบุ หลายคนทำงาน 10-12 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนล่วงเวลา (โอที) มาเลี้ยงปากท้องคนทั้งบ้าน
แต่ก็ต้องแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตที่ถดถอย กลับบ้านดึก มีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง
3 ข้อเสนอ ให้บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น
ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานจากรั้วจุฬา ฯ เสนอการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดแบบที่นายจ้างและลูกจ้างได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ข้อแรกคือ การพัฒนาฝีมือแรงงานให้สูงขึ้น เมื่อลูกจ้างทำผลงานได้ดีขึ้น นายจ้างก็สามารถจ่ายค่าจ้างได้โดยไม่เดือดร้อนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้น
สิ่งที่ภาครัฐและนายจ้างควรทำในระยะยาวคือการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน ด้วยการลงทุนวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การสร้างผลิตผลที่มากขึ้น
ข้อที่สองคือ การบังคับใช้ค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามนิยามอย่างแท้จริง โดยนิยามของ “ค่าจ้างขั้นต่ำ” คือค่าตอบแทนต่ำสุดที่นายจ้างจะต้องจ่ายแก่ลูกจ้าง “แรกเข้าและไร้ฝีมือ” แต่มีนายจ้างจำนวนมากยึดตัวเลขนี้ตลอดการจ้างงาน ตราบเท่าที่ทางการไม่ประกาศการเพิ่มค่าจ้างเป็นอัตราใหม่
เช่น ลูกจ้างทำงานมาเป็นสิบปีก็ยังได้กินแค่ค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้ง ๆ ที่มีประสบการณ์และทำผลงานได้มากขึ้น หากไม่มีนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่จากรัฐบาล นายจ้างก็ยังจ่ายเท่าเดิม การเอาเปรียบลูกจ้างเช่นนี้ควรแก้ด้วยการออกกฎระเบียบให้นายจ้างขึ้นเงินเดือนลูกจ้างทุกปีเพื่อให้พ้นไปจากนิยามของแรงงาน”แรกเข้าและไร้ฝีมือ”
ข้อที่สามคือ การเพิ่มอัตราเงินสมทบ เพราะอัตราเงินสมทบที่คิดจากเพดานเงินเดือนลูกจ้างเพียงแค่ไม่เกิน 15,000 บาทในปัจจุบัน ไม่สามารถให้หลักประกันที่มั่นคงกับชีวิตของแรงงานได้
“ประเทศไทยเราเริ่มจากการไม่มีสวัสดิการใด ๆ เลย จนกระทั่งมีค่าจ้างขั้นต่ำ มีประกันสังคม มีเงินชดเชยว่างงาน ถือว่าเรามาไกลพอสมควร แต่เงินจำนวนนี้ต้องเพียงพอให้แรงงานสามารถอยู่เป็นผู้เป็นคนได้ ไม่ใช่เป็นแค่น้ำจิ้มอย่างที่ได้รับกันมา”
ความเหลื่อมล้ำทับถม สังคมล่มสลาย
หากพูดถึงตลาดแรงงานไทยในภาพรวมเมื่อเปรียบเทียบกับทั่วโลก ถือว่าเรามีปัญหาน้อย เพราะอัตราการว่างงานต่ำติดอันดับโลก แต่ประเด็นสำคัญคือ ประสิทธิภาพแรงงานยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร จึงทำให้ได้ค่าตอบแทนที่ต่ำไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ลูกจ้างเป็นอาชีพที่มีความมั่นคงต่ำ ถูกเลิกจ้างเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และอำนาจต่อรองในการกู้ยืมน้อย เมื่อค่าจ้างขึ้นไม่ทันรายจ่าย การก่อหนี้ย่อมตามมา นำไปสู่การกู้ยืมนอกระบบที่เสียดอกเบี้ยแพงกว่ามาก ทำให้ยอดหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ยิ่งเป็นการทับถมปัญหาที่เลวร้ายที่สุดของประเทศไทยคือความเหลื่อมล้ำ
“สมัยก่อนความเหลื่อมล้ำไม่ใช่ปัญหา แต่สมัยนี้คนข้างมากยังยากจน หลังจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ ประเทศไทยกลับติดอันดับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก คนกลุ่มน้อยได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโต ส่วนคนกลุ่มใหญ่โตแต่หนี้ สังคมแบบนี้จะล่มสลายในที่สุด”
คนข้างมากในวันนี้ จึงหวังว่าการเมืองจะแก้ปัญหาได้ ขณะนี้มีพรรคการเมืองของผู้ใช้แรงงาน พูดถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เช่น เพิ่มสวัสดิการทางสังคม ลดการผูดขาด ปฏิรูปโครงสร้างภาษี แต่ทำได้จริงอย่างที่สัญญาหรือเปล่าเป็นคำถามที่คนยังสงสัย ซึ่งหวังว่าพลเมืองตื่นรู้หรือ Active Citizen จะช่วยกันจับตาให้นักการเมืองพูดแล้วทำจริง