แกะพอร์ต’กองทุนหุ้นไทย’ บลจ.แนะลงทุนรับอานิสงส์หลังเลือกตั้ง
เปิดพอร์ตการลงทุน”หุ้นไทย” ที่บลจ.แนะลงทุนรับอานิสงก์ หลังเลือกตั้ง14พ.ค. นี้ หากรัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพ พบหุ้นเด่นกองทุนเฟ้นเข้าพอร์ตให้น้ำหนักสัดส่วน5อันดับแรก อาทิ CPALL AOT SCB ADVANC GULF หวังผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องในปีนี้
หลังจากผ่าน 4 เดือนแรกของปี 2566 ต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท เป็นผลกระทบมาจากทั้งภายในและภายนอก และนักลงทุนต้องการลดความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้ง66 จากสถิติในอดีตที่ผ่านมา 4 จาก 5 ครั้งหลังสุด ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย ก่อนเลือกตั้ง 1 เดือนให้ผลตอบแทนติดลบ
ขณะที่ หลังการเลือกตั้ง วันที่14 พ.ค.นี้ ทุกคนลุ้นผลการเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาลใหม่ น้ำหนักส่วนใหญ่ของนักลงทุน ทั้งสถาบัน และ ต่างชาติ "ขอเพียงไม่เกิดประเด็นการเมืองนอกสภา" เพราะนักลงทุนชอบความชัดเจน ไม่ชอบอะไรที่ไม่แน่นอน
เพราะ “ความไม่แน่นอน” จะมีผลเชิงลบต่อทิศทาง “ตลาดหุ้นไทย” หลังเลือกตั้ง ในระยะสั้นได้ และยังคงปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยในระยะยาวเป็นภาพของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนจากภายนอกซ้ำเติมได้
แต่อย่างไรก็ตาม “ผู้จัดการกองทุน” ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้ โดยทยอยปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยกลุ่ม Domestic Play เน้นการเติบโตในประเทศ เช่น กลุ่มหุ้นค้าปลีก ท่องเที่ยว โรงแรม สุขภาพและอิเล็คทรอนิกส์ สะสมเข้าพอร์ตช่วงตลาดผันผวน สะท้อนเทียบเคียง จากผลตอบแทนกองทุนประเภท TH Sector Focus Equity ที่ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงก่อนเลือกตั้ง รอบนี้ ณ 12 พ.ค. 2565 นำโดย
1. กลุ่มแบงก์ : กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB SET Banking Sector Index (SCBBANKING) ผลตอบแทนที่ 2.31%
2. กลุ่มไอซีที : กองทุนรวมดัชนีที่ลงทุนหุ้นในดัชนีธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (K-ICT) ผลตอบแทนที่ 2.06%
3. กลุ่มโรงพยาบาล : กองทุนเปิด วรรณ โฮสพีทอล (ONE-HOSPITAL) ผลตอบแทนที่0.58%
แต่อย่างไรกระจายการลงทุนในหุ้นไทยยังช่วยลดความเสี่ยง ลองมาแกะพอร์ตการลงทุน “กองทุนหุ้นไทย” ที่บรรดาผู้จัดการกองทุนแนะนำ ว่าให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยตัวไหนมากที่สุดในพอร์ต 5 อับดับแรกอยู่บ้าง สามารถลงทุนรอรับอานิสงส์หลังเลือกตั้งรอบนี้
อย่าง บลจ.อีสท์สปริง แนะนำ กองทุนเปิดทหารไทย SET50 (TMB50) มีสัดส่วนการลงทุนหุ้น DELTA 10.70% ,AOT 7.55% ,PTT 6.92%, ADVANC 4.74% และ GULF 4.71%
มีผลตอบแทนเฉลี่ย YTD -5.10% ย้อนหลัง 1 ปี 1.20% ย้อนหลัง 3 ปี 13.92% บลจ.กสิกรไทย แนะนำ กองทุนเปิดเค สตาร์ หุ้นทุน (K-STAR ) มี
สัดส่วนการลงทุนหุ้น AOT 6.36% , ADVANC 5.94% , GULF 5.88% , CPALL 5.65% และ KBANK 4.09%
มีผลตอบแทนเฉลี่ย YTD -4.96% ย้อนหลัง 1 ปี -1.06% ย้อนหลัง 3 ปี 21.69 %
บลจ.กรุงศรี แนะนำ กองทุนเปิดกรุงศรีโกรทอิควิตี้-ปันผล ( KFGROWTH-D ) มีสัดส่วนการลงทุนหุ้นCPALL 9.56%,BBL 5.36% , SCB 5.33% , TRUE 4.69% และ BAFS 4.60%
มีผลตอบแทนเฉลี่ย YTD -4.10% ย้อนหลัง 1 ปี -0.45% ย้อนหลัง 3 ปี 16.88%
และ กองทุนกรุงศรีไดนามิค (KFDYNAMIC) มีสัดส่วนการลงทุนหุ้น CPALL 7.43% ,SCB 6.89% ,กองทุนKFDYNAMIC-UOBR-SAV 5.70% ,ADVANC 4.93% และ TCAP 4.24 %
มีผลตอบแทนเฉลี่ย YTD -2.25% ย้อนหลัง 1 ปี 5.82% ย้อนหลัง 3 ปี 58.28%
ในมิติของความน่าสนใจในการลงทุนใน”ตลาดหุ้นไทย” ในแง่ของเศรษฐกิจ ก็ยังถือว่าเติบโตได้ “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าว และกล่าวว่า โดยแบงก์ชาติคาดว่าปีนี้ GDP ไทยจะโต 3.6% ใกล้เคียงกับทาง Bloomberg Consensus ที่คาดว่า GDP ไทยจะโต 3.6% และแบงก์ชาติคาดว่าเงินเฟ้อปีนี้ก็จะกลับมาอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ซึ่งล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในเดือนเม.ย. ก็ลงมาเหลือเพียง 2.67%(YoY) ซึ่งชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ซึ่งลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมายแล้ว และจะเป็นตัวช่วยให้ความกดดันต่อแบงก์ชาติในการขึ้นดอกเบี้ยมีไม่มาก
เราคาดว่ามแบงก์ชาติอาจจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ได้อีก 1 ครั้งในปีนี้ และส่งผลให้ดอกเบี้ยของไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่2% แต่ประเด็นนี้ก็คาดว่าไม่ได้ส่งผลต่อการลงทุนมากนักเพราะคิดว่าตลาดรับรู้ปัจจัยนี้ไปแล้ว
แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ การส่งออกไทยติดลบ 6 เดือนติดต่อกัน ในไตรมาสแรกส่งออกไทยหดตัว -4.5% ซึ่งสะท้อนเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและและทบถึงภาคส่งออกไทย แต่ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นอีกเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยแบงค์ชาติตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวเข้าไทยทั้งปีประมาณ 25 ล้านคน จากเดิมที่ต้นปีตั้งเป้าเพียง 20 ล้านคนและใน 4 เดือนแรกมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วประมาณ 8.5 ล้านคน ช่วยสนับสนุนการบริโภคและตลาดแรงงาน การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวตามความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับดีขึ้น โดยรวมพื้นฐานเศรษฐกิจไทยถือว่ายังพอเติบโตได้
หากจะตอบว่าหุ้นไทยน่าสนใจอยู่หรือไม่เราต้องวิเคราะห์ 3 ด้าน ที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย คือ
1.ด้านปัจจัยพื้นฐาน
2.ด้านระดับราคาและกำไรที่คาดการณ์
3.เรื่องความเสี่ยงที่เข้ามากระทบ
ซึ่งในประเด็นของปัจจัยพื้นฐานยังถือว่ามีความน่าสนใจ ในแง่ของระดับราคา SET Index ซื้อขายกันอยู่ที่ Forward PE 15. เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 16.9 เท่า หรือต่ำกว่าประมาณ 0.7SD ซึ่งถือว่าราคาค่อนไปทางถูก ขณะที่การเติบโตของกำไร(EPS)ในปีนี้คาดว่าจะโตได้ 11% แต่ประเด็นคือ SET EPS ถึงแม้จะประเมินว่าจะโตได้ แต่กำไร(EPS) ถูกทะยอยปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีสะท้อนปัจจัยเชิงลบที่เข้ามาต่อเนื่อง
“ศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหลักทรัพย์หมวดธนาคาร พาณิชย์ และสื่อสาร พร้อมกับ กองทุนหุ้นไทยของ KSAM โดยรวมยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนี SET Index Total Return
"หุ้นที่มีการเติบโตของผลกำไรในอัตราสูง (growth stocks) ที่กองทุนให้น้ำหนักในการลงทุนจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2566 "