เครดิตบูโร ห่วง 'เจนวาย - เจนเอ็กซ์' ค้างหนี้ พุ่ง 5 แสนล้าน
“ลูกหนี้รายย่อย” น่าห่วง เครดิตบูโร ชี้ "เจนวาย" และ "เจนเอ็กซ์" หนี้ค้างชำระพุ่ง รวมกัน 5 แสนล้าน หวั่นลามเป็น "หนี้เสีย" ห่วงหนี้รถ - หนี้บ้าน จ่อเสียพุ่ง 3.5 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่แบงก์รัฐ
“หนี้ภาคครัวเรือนไทย” ในปัจจุบันจากข้อมูลล่าสุด ณ ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา พบว่า หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 86.9% หรือคิดเป็นมูลค่าหนี้คงค้างรวมที่ 15 ล้านล้านบาท
แต่หนี้ที่เริ่มน่าห่วงมากขึ้นคือ หนี้ที่เกิดจาก การอุปโภคบริโภค ที่มีสัดส่วนถึง 28% หรือคิดเป็นยอดหนี้คงค้างเกือบ 3 ล้านล้านบาท
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่า หากดูภาพรวมคุณภาพหนี้ครัวเรือนบนข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่า แม้โดยภาพรวม “หนี้เสีย” หรือเอ็นพีแอล ของสินเชื่อรายย่อย เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อบัตรเครดิตจะลดลง
โดยมาอยู่ 7.2% หรือ 9.5 แสนล้านบาท จากที่เคยทะลุสูงสุด 1.1ล้านล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 ตอนเผชิญกับผลกระทบจากโควิด-19 รุนแรง ส่วนหนึ่งลดลงมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ การขายหนี้ของสถาบันการเงิน
สำหรับประเด็น “ห่วง” คือ “หนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และหนี้ที่กำลังเสีย ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับสูง โดยหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างมีสูงถึง 8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 6%ของสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกันกับหนี้ที่กำลังจะเสีย หรือค้างชำระไม่เกิน 90 วัน ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท หรือ 4.5%
ทั้งนี้หากดูจากลูกหนี้ในฐานข้อมูลของเครดิตบูโรพบว่า มีลูกหนี้ในกลุ่มเจนวายถึง 11 ล้านคน เจนเอ็กซ์ 8.4 ล้านคน และเจนแซด 1.2 ล้านคน หนี้ที่น่าห่วงคือ หนี้ที่กำลังค้างชำระ แต่ยังไม่เกิน 90% เพราะหากไม่สามารถแก้ไขหนี้ก้อนหนี้ทัน โอกาสที่หนี้ก้อนนี้ จะไหลมาสมทบกับหนี้เสียที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้การแก้หนี้เสียยากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากดูจากไส้ในของหนี้ก้อนที่กำลังจะเสีย 6 แสนล้านบาท มีทั้งหมด 2.37 ล้านบัญชี มาจากหนี้ กลุ่มเจนวาย 52% เจนเอ็กซ์ 32% เบบี้บูมเมอร์ 10% และเจนแซด 6% หรือหากดูจากมิติของมูลค่าหนี้ค้างชำระ เจนวาย ก็ยังเป็นกลุ่มที่ค้างชำระสูงสุดที่ 48% หรือคิดเป็นยอดหนี้ที่กำลังจะเสียถึง 2.9 แสนล้านบาท เจนเอ็กซ์ 35% หรือ 2.1 แสนล้านบาท โดย 2 ก้อนนี้รวมกัน 5แสนล้านบาท ที่กำลังจะเสีย
นายสุรพล กล่าวว่า หนี้ที่น่าห่วงก้อนนี้ มาจากธนาคารพาณิชย์ 43% หนี้จากแบงก์รัฐ 41% และธุรกิจเช่าซื้อ 13%
แยกย่อยไปกว่านั้น พบว่า หนี้ค้างชำระหลักๆ มาจาก สินเชื่อเช่าซื้อก้อนใหญ่ที่สุด 32% โดยคิดเป็นหนี้ค้างชำระ 1.9 แสนล้านบาท ถัดมาคือ สินเชื่อบ้าน 27% หรือคิดเป็นยอดเงิน 1.6 แสนล้านบาท โดยสองก้อนนี้รวมกันจะอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท สินเชื่อพีโลน 26% สินเชื่อเพื่อธุรกิจ 8% ฯลฯ
โดยยังไม่นับรวมกับหนี้ที่เสีย หรือเป็นเอ็นพีแอลไปแล้ว ที่ปัจจุบันมีสูงถึง 9.5 แสนล้านบาท ในนี้แบ่งเป็นหนี้เสียจาก เจนวาย 3.5 แสนล้านบาท จากสินเชื่อคงค้างทั้งหมดที่ 5.7 ล้านล้านบาท และเจนเอ็กซ์ 2.6 แสนล้านบาท จากยอดคงค้างรวมที่ 4.1 ล้านล้านบาท และเบบี้บูมเมอร์ที่เป็นหนี้เสียแล้ว 7.9 หมื่นล้านบาท จากยอดคงค้างทั้งหมดที่ 1.3 ล้านล้านบาท
“หนี้ที่เป็นห่วงที่สุดคือ หนี้บ้าน วันนี้หนี้บ้านอยู่ที่ราว 27% หรือราว 1.6แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ เป็นหนี้ที่อยู่กับแบงก์รัฐ และหนี้รถ ดังนั้นคำถามคือ จะหยุดหนี้ที่กำลังจะเสียเหล่านี้อย่างไร ไม่ให้เพิ่มขึ้น ในภาวะที่ดอกเบี้ยขาขึ้น ส่วนใหญ่หนี้เสียมาจากกลุ่มเจนวาย ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว กำลังสร้างตัว ดังนั้นคำถามคือ 9 วิธีในการแก้หนี้ปัจจุบัน เหมาะกับหนี้ที่กำลังจะเสียหรือไม่ หนี้ที่กำลังจะเสียจำเป็นต้องมีวิธีการแก้หนี้อื่นๆ หรือไม่"
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า แม้หนี้เสียของระบบลดลง แต่ยังคงต้องติดตาม ความสามารถชำระหนี้ของกลุ่มครัวเรือนในกลุ่มเปราะบาง ที่รายได้ฟื้นตัวช้า และมีหนี้สูง
ทั้งนี้หากเจาะไปดู “หนี้เสีย”พบว่า สินเชื่อบ้าน “หนี้เสีย” ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.16% ปรับเพิ่มขึ้น จากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 3.01% ส่วนหนึ่งมาจาก ดอกเบี้ยที่ขยับเพิ่มขึ้นด้วย แม้โดยปกติ สินเชื่อบ้านมักจะมีการเก็บ “บัฟเฟอร์” Buffer ไว้แล้ว เพื่อรองรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
สำหรับปัจจุบันจะเห็นว่า ตัวที่บัฟเฟอร์ที่มีไม่เพียงพอ ดังนั้นสิ่งที่ ธปท.หารือกับสถาบันการเงินคือ ให้เร่งเข้าไปดูแลลูกค้า โดยเฉพาะเงินงวดเดิมที่กำหนดไว้ อาจไม่เพียงพอชำระ อาจต้องเร่งเจรจาในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือปรับระยะเวลาการชำระหนี้ให้ยาวออกไป*
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์