‘เงินบาท’ ส่ออ่อนค่าหนัก จากการจัดตั้งรัฐบาลไม่นิ่ง - เศรษฐกิจจีนโตต่ำคาด

‘เงินบาท’ ส่ออ่อนค่าหนัก จากการจัดตั้งรัฐบาลไม่นิ่ง - เศรษฐกิจจีนโตต่ำคาด

กูรูประเมิน “เงินบาทไทย” ส่ออ่อนค่าหนัก รับการจัดตั้งรัฐบาลไม่นิ่ง ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนโตต่ำ คาดประเมินเงินบาททำ “นิวโลว์” สวนทางแบงก์ชาติจ่อขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

Key Points

  • สกุลเงินบาทส่ออ่อนค่าหนัก ทำนิวโลว์
  • แบงก์ชาติอาจขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2% 
  • ตัวเลขเศรษฐกิจจีน และการจัดตั้งรัฐบาลของไทยที่ยังไม่นิ่ง กระทบสกุลเงินบาท

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ (29 พ.ค.) ว่า  “เงินบาทไทย” มีแนวโน้มปรับตัวอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดใหม่ (นิวโลว์) สวนทางกับท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ)

ทั้งนี้ ‘เงินบาท’อ่อนค่าลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ โดยปิดที่ 34.77 บาท ในวันศุกร์ และมุ่งสู่ระดับต่ำสุดที่เคยทำไว้ในเดือนก.พ. ที่ 35.39 บาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล จนกระทั่งกระตุ้นให้ต่างชาติเทขายหุ้น และพันธบัตรของประเทศไทยจำนวนมากติดต่อกันตั้งแต่ก่อนวันที่ 14 พ.ค. 2566 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง

‘เงินบาท’ ส่ออ่อนค่าหนัก จากการจัดตั้งรัฐบาลไม่นิ่ง - เศรษฐกิจจีนโตต่ำคาด

ด้าน เจฟฟรีย์ จาง (Jeffrey Chang) นักกลยุทธ์ตลาดเกิดใหม่ จากเครดิต อากริโคล ซีไอบี (Credit Agricole CIB) สาขาฮ่องกง กล่าวว่า “สิ่งที่ประชาชนทั่วไปรวมทั้ง นักลงทุนกังวลมากที่สุดคือ ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลจะได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ เพราะในรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุไว้ว่า ส.ว. จำนวน 250 คน มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี”

ทั้งนี้ แบงก์ชาติจะประกาศผลการตัดสินใจเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 31 พ.ค. โดยบรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2% หลังจากที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า จะยึดมั่นในมาตรการคุมเข้มทางการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป และติดตามวัดผลเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ด้าน กัลวิน เชีย (Galvin Chia) นักกลยุทธ์ตลาดเกิดใหม่จาก นัทเวสต์ มาร์เก็ต (Natwest Markets) ในสิงคโปร์ กล่าวว่า

“ผมคิดว่าการตัดสินใจของแบงก์ชาติจะไม่ค่อยส่งผลต่อค่าเงินบาทมากนัก เพราะจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ครั้งนี้อาจไม่มีผลอะไรมากนัก”

โดยนักวิเคราะห์จากโกลด์ แมนแซคส์ (Goldman Sachs Group) ประเมินว่าความเสี่ยงถัดไปของประเทศไทยอยู่ในภาคเหนือ ซึ่งไม่ห่างจากประเทศจีน เนื่องจากบรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเงินหยวนจะสูญเสียความเชื่อมั่นลง โดยเหล่านักลงทุนอยู่ในช่วงติดตามข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ​ของจีน ซึ่งจะประกาศในวันเดียวกันกับวันแถลงข่าวของแบงก์ชาติ

"จีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุด และสำคัญของไทย และชาวจีนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สกุลเงินบาทจะเคลื่อนไหวสอดคล้องไปกับการขึ้นลงของสกุลเงินหยวน"

อ้างอิง

1. Bloomberg

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์