แบงก์ชาติ จ่อคุม ธุรกิจเช่าซื้อ 1พ.ย.นี้ เพิ่มความเป็นธรรมให้ลูกหนี้
ธปท. ถกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อฯ เข้ากำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ คาดมิ.ย.66 ทำ“โฟกัสกรุ๊ป” คาดมีผลบังคับใช้ 1.พ.ย. หวังดูแลประชาชนให้ได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรม สางหนี้ครัวเรือน“เครดิตบูโร” ชี้สินเชื่อเช่าซื้อ จ่อเสีย 1.9 แสนล้าน
แหล่งข่าวจากธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวว่า สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ได้มีการประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อเตรียมความพร้อมการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยเบื้องต้น ภายในกลางเดือนมิ.ย. จะเริ่มมีการทำ Focus Group ตามประกาศ และแบบรายงานข้อมูลของธปท. โดยจะแบ่งเป็น บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร(นอนแบงก์) และกลุ่มที่สอง คือ captive finance ลีสซิ่งของค่ายรถยนต์ และนอนแบงก์อื่นๆ
โดยในช่วง ก.ค. จะเป็นช่วงที่ ร่าง พ.ร.ฎ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และ คาดภายใน 1 ส.ค. พ.ร.ฎ จะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ หลังจากนั้น คาดจะชี้แจงและรับฟังความคิดเห็น( Hearing) และออกประกาศให้ผู้ประกอบการเริ่มแสดงตัวตน โดยคาดจะใช้เวลาทั้งสิ้น 90 วัน ตามมติของคณะรัฐมนตรี(ครม.) และคาด 1 พ.ย. พ.ร.ฎ จะมีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่พ.ร.ฎ. ประกาศบังคับใช้เรียบร้อยแล้ว ตามกฎหมาย ผู้ประกอบการก็ยังสามารถแสดงตัวตนได้อย่างต่อเนื่อง และธุรกิจเช่าซื้อฯจะเริ่มอยู่ภายใต้กำกับการดูแลของธปท.
แต่หลักเกณฑ์บางเรื่องอาจต้องใช้เวลา เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาปรับตัว
แหล่งข่าว กล่าวว่า สำหรับเหตุที่การกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อให้มาอยู่ภายใต้กำกับธปท. เนื่องจาก ปัจจุบันธุรกิจเช่าซื้อ ถือว่ามีบทบาทค่อนข้างมาก ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และมีผลต่อประชาชนเป็นวงกว้าง โดยปัจจุบันมียอดธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งสูงถึง 12.4% ของหนี้ครัวเรือนไทยที่ 15 ล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่จำนวนร้องเรียนในการให้บริการการให้สินเชื่อต่างๆ สำหรับธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง ยังคงมีแนวโน้มของการร้องเรียนจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ดังนั้นการกำกับธุรกิจเช่าซื้อ ก็เพื่อส่งเสริมและดูแลประชาชน ให้ได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรมและได้รับข้อมูลที่โปร่งใสเพียงพอต่อการตัดสินใจ รวมทั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน และการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไปโดยการยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจเซ่าซื้อและลีสซิ่งนั้นจะทำตั้งแต่ปรับวัฒนธรรมองค์กรและบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง
รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจัดกลุ่มลูกค้า การควบคุมการกำกับและตรวจสอบ และการแก้ไขปัญหา การจัดการเรื่องร้องเรียน การดูแลข้อมูลลูกค้า การปรับกระบวนการขายฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งเชื่อมั่นในระบบ ผ่านคำแนะนำ การใช้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น การมีผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นธรรม และการให้บริการหลังการขาย
จากข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ระบุว่า ธุรกิจเช่าซื้อถือเป็นธุรกิจที่สำคัญ ต่อระบบการเงินโดยรวม ซึ่งหากดูพอร์ตธุรกิจเช่าซื้อในปัจจุบันที่อยู่ในระบบของเครดิตบูโร ธุรกิจเช่าซื้อในปัจจุบันที่อยู่ในระบบของ
เครดิตบูโร พบว่ามียอดคงค้างทั้งหมดอยู่ที่2.6 ล้านล้านบาทโดยมียอดค้างชำระทั้งหมดของลูกหนี้รายย่อย แต่ไม่เกิน 90 วันหรือ
กลุ่ม SM อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท ในนี้มียอดค้างชำระจากสินเชื่อเช่าซื้อถึง 32% หรือ 1.9 แสนล้านบาท ที่กำลังจะกลายเป็น
งนี้เสีย
นอกจากนี้ ในพอร์ตสินเชื่อ 2.6 ล้านล้านบาท ที่เป็นหนี้เสียแล้ว 6.9% หรือ 1.8 แสนล้านบาท และมียอดที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างอยู่ที่ 1.8% หรือ 4.7 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากดูไส้ในของลูกหนี้ที่ค้างชำระสินเชื่อเช่าซื้อพบว่า หลักๆมาจากลูกหนี้ในกลุ่ม Gen Y และ Gen X โดยหากดูจำนวนบัญชี พบว่า Gen Y มีลูกหนี้ค้างชำระสินเชื่อเช่าซื้อทั้งหมด 6 แสนบัญชี คิดเป็นมูลค่าราว 2 แสนล้านบาท โดยในนี้เป็นหนี้เสียแล้ว 343,911 บัญชี หรือ 9.8 หมื่นล้านบาท
ส่วนกลุ่ม Gen X พบว่า มีจำนวนค้างชำระทั้งสิ้น 4 แสนบัญชี มูลค่ารวม 2แสนล้านบาท ในนี้เป็นหนี้เสียแล้ว 219,921 บัญชี คิดเป็นมูลค่าหนี้เสีย 5.9 หมื่นล้านบาท
แหล่งข่าวในวงการธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง กล่าวว่า ตามแนวทางการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งของธปท.ในภาคธุรกิจเช่าซื้อ มองว่า เป็นสิ่งที่ดีจะได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรม และได้รับข้อมูลที่โปร่งใสเพียงพอต่อการตัดสินใจ น่าจะช่วยลดจำนวนเรื่องร้องเรียนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้
รวมถึงยังช่วยรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน และการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คาดว่าแนวโน้มหนี้เสียภาพรวมธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง จะทยอยลดลงได้บ้าง หากภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังฟื้นตัวได้ดี และน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนปีนี้
ทั้งนี้ผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง คงต้องปรับตัวและเตรียมตัวกับแนวทางกำกับดูแลของธปท.
ซึ่งก่อนหน้านี้ทางผู้ประกอบการ มีความเป็นห่วงในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในหลายๆระบบที่ต้องปฏิบัติ และความพร้อมของผู้ประกอบการรายเล็ก โดยทางธปท. ก็มีความเข้าใจผลกระทบต่อผู้ประกอบการในเรื่องนี้
ดังนั้น หลังจากนี้จะมีการเตรียมความพร้อม กับทางธปท.และผู้ประกอบการรายทั้งรายใหญ่ รายกลางและรายเล็กว่ามีปัญหา หรืออุปสรรคตรงไหนที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม อีกทั้งแม้ว่าแนวทางกำกับ และตรวจสอบดังกล่าวจะมีการบังคับใช้จริงจะยืดหยุ่นให้เริ่มปฏิบัติเป็นเฟสๆไป เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้
“จากแบงก์ชาติเข้ามากำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งธุรกิจนี้ถูกกำกับจากหลายหน่วยงานอยู่แล้ว อย่างเรื่องการคิดอัตราดอกเบี้ยธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง นั้นทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ก็จะเป็นผู้กำหนด”