ถึงเวลาสร้างความชัดเจน การเมืองราบรื่นดึงลงทุน
แม้เวลาจะผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนหลังการเลือกตั้ง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าพรรคที่ชนะมาเป็นอันดับหนึ่งจะจัดตั้งรัฐบาลได้ นอกจากประเด็นนี้จะสร้างความสับสนให้ประชาชนแล้ว ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติอีกด้วย เนื่องจากประเทศไทยอาจเรียกได้ว่ายังไม่มีเสถียรภาพ
วานนี้ (14 มิ.ย.) ครบรอบวันเลือกตั้งหนึ่งเดือนพอดิบพอดี ถามว่ามีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นกับการเมืองไทยหรือไม่ หน้าตารัฐบาลใหม่ชัดเจนขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่า...ไม่เลย คณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่รับรอง ส.ส. ส่วนตัวพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล พรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่ง ยังลูกผีลูกคนอยู่กับเรื่องหุ้นไอทีวี กองเชียร์ที่เคยติดตามข่าวอย่างแข็งขัน บางส่วนยิ่งนานยิ่งท้อกับอนาคตประเทศ
อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเรื่องของประชาชนช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกันมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าคนที่ตนเองเลือกจะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ นั่นคือความละเหี่ยใจของคนไทย ที่ต่อให้เซ็งยังไงส่วนใหญ่ก็ย้ายประเทศไม่ได้ แล้วความรู้สึกนักลงทุนต่างชาติล่ะ? เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องรับฟัง เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับสอง เศรษฐาเป็นอดีตนักธุรกิจใหญ่ เมื่อมีความเห็นเรื่องเศรษฐกิจจะทำหูทวนลมไม่ได้
เศรษฐากล่าวถึงการสัมมนาออนไลน์รายการหนึ่งของบริษัทหลักทรัพย์ มีนักลงทุนเข้าร่วมประมาณ 85-170 คน มีการสอบถามถึงปัญหาบ้านเมือง “สิ่งที่เขาห่วงใยมากที่สุดคือประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง มีสิ่งดีๆ อยู่เยอะมาก แต่ความไม่แน่นอนของรัฐบาลรักษาการทำให้การลงทุนหยุดชะงัก เขาอยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว" นั่นหมายความว่า ถ้าตั้งรัฐบาลได้เร็วจะดึงดูดนักลงทุนกลับเข้าประเทศได้
ช่วงนี้กระแสย้ายฐานการลงทุนออกจากไทยถูกพูดถึงบ่อย สืบเนื่องจากความไม่ชัดเจนในการตั้งรัฐบาล แม้ยังมีข่าวดีอยู่บ้างว่า ระหว่างวันที่ 24-26 มิ.ย. หอการค้าไทย-จีนจะเป็นเจ้าภาพการประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention-WCEC) ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่คาดว่าจะมีนักธุรกิจจีนจากทั่วโลกพร้อมผู้ติดตามมาร่วมงานกันกว่า 4,000 คน เรียกว่าเป็นงานใหญ่มากๆ
เบื้องต้นเฉพาะงาน WCEC เอง คาดว่าเม็ดเงินสะพัดอย่างน้อยๆ 300-400 ล้านบาท เพราะนักธุรกิจและผู้ติดตาม ไหนๆ มากันแล้วก็วางแผนเที่ยวเมืองไทยต่อ นักธุรกิจที่มาไม่ใช่เฉพาะจากประเทศจีนเท่านั้น แต่เป็นธุรกิจจีนจากทั่วโลก ถ้ามาแล้วการเมืองไทยไม่ชัดเจนน่าจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะการค้าขายไม่ว่าจะเป็นทุนจากประเทศไหนเขาต้องคำนึงถึงความชัดเจนของการเมืองเป็นหลัก
โอกาสนี้เมื่อภาคเอกชนอย่างหอการค้าไทย-จีน เป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่แล้ว ผู้มีอำนาจในไทยก็น่าจะใช้งานนี้โชว์ศักยภาพการเมืองไทยด้วย ถึงวันประชุมถ้าการเมืองชัดขึ้น บรรดานักธุรกิจจะไปพูดกันปากต่อปากว่า เมืองไทยไม่ได้มีดีแค่แหล่งท่องเที่ยว แต่ประชาธิปไตยไทยช่วยให้การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกประเทศไม่ว่าจะปกครองในระบอบใด การเมืองเป็นตัวนำเศรษฐกิจ ถ้าทำได้สมูธอะไรๆ ก็น่าลงทุนไปหมด