3 กลยุทธ์การลงทุน รับครึ่งปีหลัง
ในช่วงต้นปี หลายฝ่ายได้คาดการณ์ว่า กลยุทธ์ “Bonds are back” หรือการลงทุนในตราสารหนี้จะกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดี ก็เป็นไปตามคาด เพราะเงินเฟ้อที่ทยอยปรับตัวลง ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มผ่อนระดับการขึ้นดอกเบี้ย
ล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติคงดอกเบี้ยในที่ประชุมเมื่อกลางเดือนมิถุนายน โดยครึ่งปีที่ผ่านมา ตราสารหนี้กลุ่มต่างๆ ทั่วโลกล้วนให้ผลตอบแทนเป็นบวก นำโดยหุ้นกู้ผลตอบแทนสูง (อ้างอิง Bloomberg Global High Yield Total Return Index) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ +5% ตามมาด้วยหุ้นกู้ระดับ Investment Grade และพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนราวๆ 1-2% (ข้อมูล ณ 28 มิถุนายน)
ในทางกลับกัน การคาดการณ์ว่าการเปิดประเทศของจีนจะรับไม้ต่อในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกกลับไม่เป็นดังคาด รายงานทางเศรษฐกิจออกมาน่าผิดหวัง ตั้งแต่ตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนในภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกที่มีทิศทางชะลอตัวลง รายได้จากการท่องเที่ยวเดือนมิถุนายนที่มีเทศกาลไหว้บะจ่างก็ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ราว 5% สะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภคที่แผ่วลง กดดันหุ้นจีนให้ปรับลงแรงจากจุดสูงสุดในเดือนมกราคม และทำให้ผลตอบแทนติดลบในครึ่งปีแรก
สำหรับครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งกดดันจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังธนาคารกลางทั่วโลกเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซ้ำเติมด้วยความเข้มงวดด้านการปล่อยสินเชื่อในภาคธนาคารเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ทำให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้นและในต้นทุนที่แพงขึ้น กดดันทั้งการบริโภคและการลงทุน
ด้านเงินเฟ้อคาดว่าจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ลดแรงกดดันต่อธนาคารกลางที่จะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเหมือนปีที่แล้ว ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และยูโรโซนกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุด และธนาคารกลางมีแนวโน้มจะคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากตลาดแรงงานและการบริโภคภาคเอกชนยังแข็งแกร่ง ทำให้เงินเฟ้อแม้จะมีทิศทางลดลงแต่ยังห่างจากเป้าหมายมากเกินกว่าที่เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ข้ามมาที่ฝั่งของเศรษฐกิจจีน นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า GDP ปีนี้จะเติบโตได้ +5.5% สูงกว่าเป้าหมายของทางการที่ 5% หนุนจากการบริโภคในประเทศเป็นสำคัญ โดยคาดว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และทางธนาคารกลางจีนก็จะยังคงดำเนินโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
จากพัฒนาการในครึ่งปีแรกและมุมมองในระยะข้างหน้า จึงนำมาสู่ 3 กลยุทธ์การลงทุนรับครึ่งปีหลัง ดังนี้
- หลังจากตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในครึ่งปีแรก ยังคงแนะนำให้รักษาสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ จากการคาดการณ์ว่าบอนด์ยีลด์กำลังจะผ่านจุดสูงสุด ตามทิศทางของธนาคารกลางทั่วโลกที่กำลังสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย โดยเน้นลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง ที่นอกจากจะได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยที่น่าดึงดูดแล้ว ยังมีความเสี่ยงจำกัดจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่อาจทำให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น
- กระจายลงทุนในหุ้นทั่วโลก นอกเหนือจากหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในเกณฑ์แพง โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี มีรายได้และกำไรเติบโตสม่ำเสมอ รวมถึงมีศักยภาพการเติบโตในอนาคตสูง ล้อไปกับกระแสหลักของโลก ไม่ว่าจะเป็น การที่ปัญญาประดิษฐ์ (A.I) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม การที่ชนชั้นกลางมีจำนวนมากขึ้นนำมาสู่การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น และที่สำคัญคือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัว
- กระจายความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุน Hedge Funds ที่มีกลยุทธ์ซื้อ (Long) และขาย (Short) หุ้นหรือสกุลเงินเพื่อทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง และที่ขาดไปไม่ได้คือสินทรัพย์นอกตลาด ที่ราคาไม่เคลื่อนไหวตามข่าวรายวัน แต่จะสะท้อนมูลค่าทางพื้นฐานที่แท้จริง โดยในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ถือเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนในราคาที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ดี
จาก 3 กลยุทธ์ข้างต้น คาดว่าจะเป็นขุมทรัพย์ที่ช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ รวมทั้งสามารถก้าวผ่านความผันผวนระยะสั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลังได้