“สันติ”ค้านปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยคนชรา ชี้รอนสิทธิสร้างความเหลื่อมล้ำสังคม
“สันติ พร้อมพัฒน์”ค้านปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยคนชรา ชี้รอนสิทธิสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม ยันคลัง มีเงินฐานะแข็งแกร่ง แต่ต้องใช้เงินให้เป็น
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วานนี้ (15 ส.ค.)ถึงกรณีการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยคนชราว่าเป็นเรื่องของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.)เป็นผู้ดำเนินการ และว่า หลักเกณฑ์ใหม่ จะไม่มีผลย้อนหลังกับผู้ที่ได้รับสิทธิ์อยู่ก่อนหน้านี้ โดยผู้เข้าร่วมประชุมครม.ในครั้งนี้ ไม่มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ ซึ่งคาดว่าเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการ จึงไม่มีรัฐมนตรีแสดงความคิดเห็น
ทั้งนี้ กรณีการปรับปรุงเงื่อนไขสิทธิการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุนั้น โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจาก จะสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม ระหว่างคนชราเดิมที่ได้รับสิทธิกับคนชราคนใหม่ที่ไม่ได้รับสิทธิ อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์การกำหนดว่าคนรวยต้องรวยระดับเท่าใด ที่จะไม่ได้รับสิทธิและคนจนเท่าใดจึงจะได้รับสิทธิ ซึ่งการแจกเบี้ยคนชราจะแตกต่างจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ที่กำหนดว่าครอบครัวต้องมีรายได้เฉลี่ยต่อคนไม่เกิน 1 แสนบาท และทรัพย์สินอื่นๆ อาทิ ที่ดินรถยนต์ เป็นต้น
“เรื่องนี้ต้องสอบถามรายละเอียดจากกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์(พม.) เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุ ส่วนกระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดหาเงินให้ส่วนราชการตามความที่กำหนด และขอยืนยันอีกครั้งว่ากระทรวงการคลัง มีเงิน ฐานะการเงินแข็งแกร่ง เพียงแต่ต้องใช้เงินให้เป็นเท่านั้น”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแจกเบี้ยคนชรา กรมบัญชีกลาง มีหน้าที่ในการโอนเงินเข้าบัญชีประชาชนที่ได้รับสิทธิเบี้ยคนชราตามเงื่อนไขที่กระทรวงพม.ส่งรายชื่อมาเท่านั้น โดยปัจจุบันมี 2 รูปแบบ คือ โอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้รับสิทธิเบี้ยคนชราโดยตรง และจ่ายผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งกำหนดจ่ายทุกวัน10 ของเดือน
ส่วนรูปแบบการจ่าย เป็นการจ่ายถ้วนหน้า แบบขั้นบันได หรือจ่ายทุกคนที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป โดยอายุ 60-69 ปี จ่าย 600 บาทต่อเดือน อายุ 70-79 ปี จ่าย 700 บาทต่อเดือน อายุ 80-89 ปี จ่าย800 บาทต่อเดือน และอายุตั้งแต่ 90 ปีขึ้นไป จ่าย 1,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันมีผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิ11.20 ล้านคน มียอดเบิกจ่าย ณ เดือนก.ค.ประมาณ7.1 หมื่นล้านบาท ส่วนปีงปบระมาณ2567 ตั้งงบประมาณไว้ที่ 9 หมื่นล้านบาท